เปรูฉบับเร่งรัดตอนแรก มาว่าด้วยการผจญภัยด่านแรก คือ การเดินทางจากประเทศไทย ยากที่สุดคือการจองตั๋วในทวีปอเมริกาใต้ และข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับสนามบิน Garulos ที่ Sao Paolo สนามบินที่ Lima, Peru และข้อมูล Sim card การแลกเงิน และเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อนเดินทาง การเดินทาง นี่ไม่ใช่การเดินทางคนเดียวครั้งแรกของฉัน แต่เป็นครั้งก่อนๆเป็น Business trip ไปยังประเทศที่คุ้นเคยอย่างสิงคโปร์ และคราวนี้เป็นการเดินทางที่ไกลมาก สิริรวมเวลานับได้ 24 ชั่วโมงพอดิพอดี ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเดินทางมาหลายต่อหลายครั้ง ฉันก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิคนแน่นขนัด ทั้งๆที่ไม่ใช่วันหยุดเทศกาล แถวเช็คอินของ Emirates ยาวเหยียด ดีนิดหนึ่งที่ฉันจัดการเช็คอินออนไลน์มาเรียบร้อยทำให้ได้เข้าแถวที่สั้นว่า แต่ถึงอย่างนั้น คนก่อนหน้าทุกคนมีปัญหากับสัมภาระและต้องรื้อกระเป๋าออกมา ไม่แน่ใจว่าเพราะน้ำหนักเกินหรือว่าเพราะมี power bank ฉันเลยต้องอยู่ในแถวร่วมครึ่งชั่วโมง นานจนแทบจะชวนคนข้างๆคุยเพราะเห็นว่าเค้ามาคนเดียว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจยืนเงียบๆดีกว่ากลัวเค้าหาว่าอ่อย ผ่านการเช็คอินไปอย่างเหน็ดเหนื่อย (ซึ่งฉันใช้เวลาที่เคาน์เตอร์เช็คอินแค่ประมาณสามนาที) ภาวนาว่าขอให้แถว security check ไม่ยาวเหมือนเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ฉันเพิ่งเดินทางไปสิงคโปร์ สัมภาระของฉันพะรุงพะรังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน (เดินทางคนเดียวมันลำบากอย่างนี้เอง) ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ขอเปิดกระเป๋าดูซะอีก เฮ้อ ฉันก็จัดแจงหยิบให้เค้าดูทีละชิ้น ได้แก่ power bank แปรงสีฟัน และชิ้นที่สามคือถุงของเหลว ซึ่งฉันก็รีบชี้แจงว่าแต่ละชิ้นไม่เกิน 100 มล,และรวมกันไม่ถึง 1 ลิตร เจ้าหน้าที่มองหน้าฉันสลับกับถุง แล้วถามย้ำว่า “ไม่เกินแน่นะ” พอฉันยืนยัน เค้าก็หมดเรื่องกับฉันไป ถัดไปเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ทุกอย่างราบรื่นดี ยกเว้นฉันเจอพี่คนไทยคนนึงที่เค้ากรอกใบตม.ไม่เป็น ก็เลยช่วยเค้ากรอก เค้าบอกว่ากำลังจะเดินทางไปหาแฟนที่ต่างประเทศแต่ไม่เคยเดินทางเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไฟลท์แรกของทริปนี้ คือ จากกรุงเทพมาดูไบ เป็นครั้งแรกของฉันสำหรับสนามบินนี้ ระหว่างทริปไฟลท์เต็มแน่น โชคดีว่าฉันนั่งริมทางเดิน เลยรู้สึกว่าพอมีอากาศหายใจและเป็นเครื่องใหญ่ A380 ซึ่ง leg room ใหญ่พอควรสำหรับสาวเอเชียไซส์มาตรฐานอย่างฉัน แต่ไม่ใช่สำหรับพ่อหนุ่มขายาวข้างๆที่ดูอึดอัดมากเพราะโดนนั่งตรงกลาง ฉันก็พยายามจะ accommodate เค้าเรื่องช่วยส่งต่อเครื่องดื่ม หรืออะไรก็ตามที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ แต่พอหลับไปได้สักพัก นายคนนี้กลับยกขาขึ้นมาพาดกระเป๋าหน้าที่นั่งของฉันจนแก้วหล่น ดีว่าไม่มีน้ำเหลือ แล้วนายนั่นยังเกยมากินที่ของฉันอีก จนฉันต้องเขย่าให้เค้าหลบไป ฉันได้งีบไปบ้างจนในที่สุดก็สิ้นสุดหกชั่วโมงที่ยาวนาน แต่นี่ยังไม่ถึงครึ่งของเลกถัดไป ได้แต่หวังว่าเลกหน้าจะพอขยับตัวได้บ้าง สำหรับการเดินทางไกลๆนี้ การต้องเปลี่ยนเครื่องถือว่าเป็นเรื่องดีที่ได้ลงไปสูดอากาศและขยับตัว แต่สิ่งที่ควรเตรียมตัวก็คือต้องมีเสื้อผ้าติดตัวไว้เผื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมา สนามบินดูไบนี้ไม่ดีตรงที่มี free wifi ให้แค่ชั่วโมงเดียว แถมสัญญาณไม่ดีอีกต่างหาก เลกถัดไป เครื่องเล็กลงแต่คนเต็มเหมือนเดิม ฉันสงสัยว่าคนจะไปทำอะไรกันเยอะแยะที่ Sao Paolo นี้ แถมไฟลท์ดีเลย์นิดหน่อยอีก แต่ที่แย่ที่สุดเห็นจะป็นเพื่อนร่วมที่นั่ง ซึ่งเป็นสองหนุ่มหนวดเฟิ้มและมีกลิ่นตัว ฉันพลาดมากที่เลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพราะเป็นไฟลท์กลางวันที่ชมวิวไม่ได้ แดดร้อนมาก และขยับตัวไม่ได้เลย ฉันโดนก่ายมากินที่อีกตามเคยแต่คราวนี้แย่กว่าตรงที่สองหนุ่มนี้กินเหล้า ไม่ใช่กินน้ำเปล่าแบบหนุ่มในเลกแรก แต่เค้าก็ไม่ได้รุ่มร่ามอะไร คนนึงชวนฉันคุยและดูสงสัยมากว่าฉันมาทำอะไรคนเดียว แล้วยังถามฉันอีกว่าฉันเป็นนักเขียนรึเปล่า เพราะว่าฉันเขียนบันทึกยิกๆตลอดทาง ฉันก็ยังนึกว่าอยากจะตอบว่าใช่ อาชีพในฝันอันห่างไกลความจริงของฉัน บราซิล เอาล่ะ ในที่สุด 14 ชั่วโมงอันทรมานก็สิ้นสุดลง วิวเบื้องล่างของบราซิลเป็นป่าจนกระทั่งเข้าเมืองก็จะเห็นแต่หลังคาบ้านซ้อนกันถี่ๆ คุณผู้ชายสองคนยังคงชวนฉันคุยจนเดินลงมาเกือบถึงแถวตม. ที่แถวตม. ต้องมีการแสกนนิ้วมือก่อน แต่มือฉันแห้งมากเพราะอยู่บนเครื่องนาน เจ้าหน้าที่เลยบอกให้ฉันเอามือถูจมูก >.< แปลว่าหน้าฉันคงดูมันมากสินะ ... แต่ว่ามันก็ได้ผล การเข้าบราซิลนั้นคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่อาจจะไม่ค่อยมีคนไทยมาเท่าไหร่ ตม.จึงพลิกพาสปอร์ตของฉันเพื่อหาวีซ่าอยู่พักหนึ่ง ฉันจึงบอกเค้าว่า no visa is required for Thai people ตม,ทำหน้าแปลกใจแล้วเปิดเช็คในระบบ ก็พบว่าไม่ต้องใช้จริงๆ ที่นี่ฉันได้ตราประทับ Olympic 2016 มาด้วย :) ที่สนามบิน Sao Paolo หรือ GRU นี้ มี 3 terminal ด้วยกัน terminal 3 ที่เครื่องของฉันลงนี้ดูจะใหม่ที่สุดและร้านอาหารเยอะที่สุด แต่โรงแรมที่ฉันจะไปพักอยู่ใน terminal 2 ชื่อ Fast Sleep เป็นโรงแรมแบบคิดราคาเป็นชั่วโมงสำหรับคนมาอาบน้ำหรืองีบเวลาต่อไฟลท์ แต่ location ของโรงแรมนี้ออกจะลึกลับสักหน่อย จุดสังเกตคืออยู่ติดกับ Domestic Arrival East Side ของ terminal 2 ห้องพักจะเป็นห้องขนาดเล็กพอดีตัว เตียงสองชั้น ส่วนห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำรวม แต่ว่าสะอาดมากเพราะมีคนทำความสะอาดทุกครั้งที่มีแขกเข้าไปใช้ ฉันเช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาหาอะไรทาน ทีแรกก็อยากกินอะไรง่ายๆแต่เห็นราคาแซนด์วิช 18 Real แล้วก็กินไม่ลง สู้ไปกินอาหารที่ได้เนื้อได้หนังจะดีกว่า ก็เลยจบลงที่เสต็กกับข้าวผัดเนื้อเค็ม เวลาแฟนฉันมาบราซิลก็จะกินแต่เนื้อนี่แหละ บอกว่าเนื้อที่นี่อร่อยและถูก ฉันก็เลยอยากลองบ้าง จานใหญ่ขนาดนี้ราคาแค่ 32 real คุ้มกว่าแซนด์วิชแห้งๆเป็นไหนๆ ฉันกลับมางีบไปหน่อยนึงก็ตื่นมารอแฟนที่จะตามมาสมทบ ปกติฉันจะ track status ของไฟลท์ผ่านแอปซึ่งก็แม่นยำอยู่ แต่คราวนี้มันดันขึ้นว่า This flight cannot be temporarily tracked due to out of network หรืออะไรสักอย่าง ทำเอาฉันใจไม่ดี รีบแต่งตัวออกมายืนรอหน้า Arrival Gate ใจชื้นหน่อยตอนที่เห็นในกระดานขึ้นว่า disembarking แต่ยืนรออยู่นานก็ไม่เห็นนางโผล่มา ฉันเลยได้แต่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น จนแฟนฉันโผล่มาจากทางโรงแรม เรียก เบบ เบบ ฉันที่หันไปกระโดดกอดน้ำตาไหล เพราะปกติเราตัวติดกันมาก พอห่างกันแบบนี้ทั้งคิดถึงและเป็นห่วง แต่ถ้าได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เช้าตรู่ ได้เวลาจับไฟลท์ไปเปรู ... การเดินทางในทวีปอเมริกาใต้นี้มีทางเลือกไม่มากนัก สายการบินที่ชื่อเสียงดีที่สุดคือ LAN หรือ LATAM แต่ราคาก็แพงมาก เราเลยเลือกอีกสายการบินหนึ่ง ซึ่งเป็นสายการบินใหม่ ชื่อว่า Avianca เป็นหนึ่งใน Star alliance ด้วย ไฟลท์หลากหลายพอสมควร website ก็ดูทันสมัยดีแต่ระบบการจองพิลึกหน่อย คือ การจ่ายเงินจะไม่สามารถตัดบัตรเครดิตออนไลน์ได้แบบที่เราคุ้นเคย แต่ว่าต้องกรอกรายละเอียดบัตรไปก่อน แล้วเจ้าหน้าที่จะ verify อีกที ระหว่างนี้ให้รออีเมลคอนเฟิร์ม โดยฉันจองไปสองวัน ถึงจะได้อีเมลกลับมาว่า การจ่ายเงินของฉันมีปัญหา พอโทรไป call center ที่อเมริกา ก็ได้ความว่า ถ้าจองจาก website ของบราซิลจะรับได้เฉพาะบัตรเครดิตของบราซิลเท่านั้น (ทำไมไม่บอกตั้งแต่ในเว็บก็ไม่ทราบ) ฉันจึงต้องทำการจองใหม่ โดยเมื่อเช้าไปในเว็บต้องเลือก location ว่าเป็น US แล้วเมื่อได้อีเมลก็ต้องโทรไป verify ข้อมูลอีกที นอกจากการจ่ายเงินอันยุ่งยากนี้แล้ว เราเพิ่งจะมาทราบกันก่อนเดินทางไม่นาน ว่าไฟลท์จาก Sao Paolo – Lima – Cusco นี้ เมื่อเครื่องลงที่ Lima เราจะต้องผ่านตม.และรับกระเป๋าที่ Lima ก่อนจะออกจาก terminal แล้วเดินกลับเข้ามาใหม่ เพื่อโหลดกระเป๋าขึ้นไฟลท์ Lima – Cusco ซึ่งเรามีเวลาแค่ประมาณ 1.45 ชม. ที่จะทำทั้งหมดนี้ จึงใจตุ๊มๆต่อมๆอีกตามเคย ไฟลท์จาก Sao Paolo ไป Lima ใช้เวลา 5 ชั่วโมง เครื่องบินลำใหญ่ นั่งสบาย พอเครื่องลงที่ Lima เราสองคนก็รีบโกยอ้าวผ่านต.ม.อย่างรวดเร็วและมารอกระเป๋า ทั้งหมดใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอกระเป๋าฉันก็จัดการแลกเงินให้พอมีติดกระเป๋าเพราะเรทในสนามบินจะแพงกว่าร้านข้างนอก คือประมาณ 3.2 Soles: 1USD และทำการเช่า Sim card Sim card ที่เปรูนี้ มีเครือข่ายมือถือหลายค่าย ที่ดังๆมีสามเจ้าคือ Entel, Claro และ Movistar โดยคุณภาพก็เทียบได้กับ AIS DTAC True ตามลำดับ จากเดิมเรากะว่าจะให้รถที่ Cuzco พาไปซื้อซิม แต่พอดีที่สนามบินมี Claro ให้เช่า ก็เลยรีบจัดการเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น โดยสนนราคาคือ internet 5 GB 20 วัน ราคา 90 USD ย้ำว่า USD ไม่ใช่ Soles นี่ถือว่าแพงมาก อยู่ในไทยใช้ได้ประมาณครึ่งปีเลยนะ ราคานี้ มาถึงช่วงเวลาตื่นเต้น คือการลากกระเป๋าออกไปนอกอาคารผ่านประตู Arrival แล้วกลับเข้ามาใหม่ทาง Departure เพื่อโหลดกระเป๋าไป Cuzco ทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็ว เรายังเหลือเวลากันอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนบิน ... ผ่านไปหนึ่งด่านที่ต้องลุ้น ไฟลท์จาก Lima ไป Cuzco แนะนำให้นั่งด้านซ้ายจะได้วิวเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วย Glacier แต่เราได้นั่งด้านขวาเพราะไม่มีทางเลือก เลยได้เห็นแต่ภูเขาแห้งๆ แต่ก็สวยดีไปอีกแบบ บินไปได้สักพักจะรู้สึกเลยว่าเครื่องบินอยู่สูงกว่าพื้นนิดเดียว เพราะพื้นดินแถบนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงประมาณสามพันเมตร เพียงชั่วโมงเดียวก็ถึง Cuzco
0 Comments
Leave a Reply. |
Peruปุบปับเปรู Categories |