Puno การเดินทางไป Puno นั้นมีสามวิธี คือ บิน (แต่ว่าถ้าจะบินต้องบินกลับไปที่ลิม่าก่อน) รถไฟ และรถทัวร์ ตอนแรกเราจะนั่งรถไฟ เพราะว่ามันเดินไปเดินมาได้ แต่ว่าราคาแพงมาก ส่วนรถทัวร์มีทั้งแบบ direct คือ ไม่แวะอะไรเลย กับแบบพ่วงทัวร์ โดยจะแวะจอดสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจประมาณ 4-5 ที่ เราจึงเลือกการเดินทางวิธีสุดท้ายนี่แหละ เพราะดูว่าจะถูกและคุ้มดี! ปล. ตั้งแต่บล็อกนี้เป็นต้นไปรูปประกอบจะไม่ค่อยครบเรื่องราวเพราะว่าไฟล์รูปจาก GoPro เสียแบบยังหาทางแก้ไม่ได้ค่ะ T_T ร้องไห้หนักมาก จากการทำการบ้าน ยี่ห้อที่ดีที่สุดน่าจะเป็น Mo แต่ว่าพอจะจองกลับไม่มีคนตอบอีเมล เราก็เลยต้องเปลี่ยนยี่ห้อไปใช้ Inka Express แทน ซึ่งรถจะเก่ากว่า แต่ว่าโดยรวมก็ถือว่าโอเค เราออกจากโรงแรมกันแต่เช้า โดยให้โรงแรมช่วยโทรเรียกแท็กซี่มารับ แต่... ออกรถไปได้ไม่กี่สิบเมตรก็ติดอยู่ในซอย (ลืมบอกว่าถนนบนเขาของ cusco นี้ อารมณ์แบบถนนในซอยที่โรม คือเป็นพื้นหินและแคบมาก ที่แย่ที่สุดคือเค้าไม่ได้จัดระเบียบเป็น one-way ดังนั้นเวลามีรถจะสวนกันจะต้องหลบในเวิ้ง หรือว่าถ้าคันนึงเป็นรถใหญ่ จะต้องจอดรอที่ปากซอย แต่ถ้าป๊ะกันกลางซอยก็จะต้องมีคนนึงยอมถอย ...ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครยอม) วันนี้ ต้นเหตุรถติดของเราอยู่ที่รถขนขยะ ทำให้ไม่มี space ในการเบี่ยงหลบและทั้งสองฝั่งไม่มีใครยอมถอย จอดประจันหน้า และบีบแตรใส่กัน สักพัก...ก็มีเสียงดังโครมม! รถแท็กซี่คันที่เรานั่งโดนอะไรสักอย่างจากรถขยะหล่นลงมาใส่ เล่นเอากันชนขยับ กว่ารถที่ประจันหน้ากันจะยอมถอย และกว่าคนขับจะเจรจากับรถขยะก็ปาไป 15 นาทีเห็นจะได้ ดีว่าพอรถพ้นเขตเมืองเก่าแล้วการจราจรคล่องตัว เราจึงไปถึงรถทัวร์ทันเวลา รถทัวร์วันนี้ เนื่องจากเราเลือกโปรแกรมแบบมีการแวะเที่ยว จึงมีไกด์สองภาษา และมี hostage คอยเสิร์ฟน้ำและอาหารว่างด้วย รถออกจาก Cusco ไปได้ไม่นานก็ถึงจุดแวะแรก ชื่อว่า Andahuay Lilas Church แต่ว่าตั๋วของเราเป็นแบบไม่รวมค่าเข้าชม และจากที่อ่านรีวิวมา โบสถ์นี้ไม่ใช่ a must ส่วนที่สวยที่สุดของโบสถ์แห่งนี้ก็อยู่ที่หน้าจั่วด้านนอกนี่เอง เราก็เลยเลือกที่จะไม่เข้า แต่ว่าเดินเล่นอยู่รอบๆโบสถ์แทน ระหว่างที่เดินอยู่ข้างนอก ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือรถเข็นมันต้ม (หน้าตาเหมือนรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแต่เปลี่ยนจากเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นมันต้ม) ใส่ซุปร้อนๆและกระดูกไก่ (คิดว่า) พนักงานของรถบัสทุกยี่ห้อมารุมกันอยู่ที่รถเข็นนี้ เห็นแล้วก็อยากจะลองกินเหมือนกัน เพราะว่ากลิ่นดีมากและน้ำซุปร้อนๆก็ดูจะเหมาะกับอากาศหนาวๆตอนนี้เป็นที่สุด แต่ว่าแอบส่องระดับความสะอาดแล้วคิดว่าไม่น่าคุ้มที่จะลอง เลยได้แต่ยืนมองตาละห้อย จุดแวะที่สองชื่อ Checacupe site เป็นเมืองเล็กๆซึ่งมีสะพานเก่าแก่ให้ได้เดินข้ามแก้เมื่อย จุดถัดไปถึงจะดูจริงจังหน่อย ชื่อว่า Raqchi Inca Remains ซึ่งเป็นซากเมืองเก่าสมัยอินคาที่ดูยิ่งใหญ่ทีเดียว ที่นี่จะมีแผงร้านค้างานฝีมือด้านหน้าเยอะมากและราคาถูกด้วย เมืองนี้สินค้าขึ้นชื่อคือเซรามิค หากเจออะไรถูกใจก็ซื้อเลยค่ะ เพราะจะไปหาเอาดาบหน้านั้นก็อาจจะไม่เจอแล้ว ในทุกๆจุดแวะจะมีร้านค้าทุกที่นะ แต่ของในแต่ละเมืองก็จะมีแตกต่างกันไปบ้าง แนะนำว่า ซื้อจากชาวบ้านเหล่านี้ บางทีถูกกว่าไปซื้อในร้านค้าในเมืองใหญ่ๆ และรายได้ก็จะได้ถึงชาวบ้านโดยตรงด้วย เราได้จานมาใบนึง ลายปลาน่ารักมาก ใบละร้อยบาทเอง แต่ว่า...ใช้ครั้งแรก แม่ขัดลายออกหมดเลย T_T แล้วก็ถึงเวลาอาหารกลางวันซึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์ราคารวมในตั๋วรถแล้ว แต่ปริมาณอาหารไม่พอกับความหิวโหยของผู้โดยสารเลย ขนาดว่ารสชาติไม่ได้ดีเท่าไหร่ก็ยังหมดเกลี้ยง แต่ว่าเครื่องดื่มต้องจ่ายแยกต่างหาก ข้อดีคือวิวดีมากค่ะ มาถึงจุดสำคัญที่แอบหวั่นใจเล็กน้อย เพราะว่าเป็นจุดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุดในเส้นทางวันนี้ คือ La Raya ที่ความสูง 4,375 เมตร (ตอนนั้นนึกว่านี่คือจุดที่สูงที่สุดในเปรู) ด้วยความสูงระดับนี้ อากาศบางมากค่ะแต่ว่าไม่ได้มีอาการอะไร เพราะว่าเป็นการแวะลงไปถ่ายรูปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตามบนรถบัสเค้าก็มี oxygen กระป๋องไว้เตรียมปฐมพยาบาลหากว่าใครเกิดอาการหนักขึ้นมา จาก La Raya ไปจุดถัดไป ใช้เวลาค่อนข้างนาน และเป็นจุดแวะสุดท้ายของเส้นทางนี้ Inca Pukara Museum จากรีวิวไม่ค่อยมีอะไร เราก็เลยไม่ได้เข้าข้างใน ระหว่างทางจาก pukara ไป Puno จะผ่านเมือง Juliaca ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีทั้งนิคมอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัย แต่บ้านเรือนดูมอซอมาก ไม่มีบ้านไหนยอมทาสีแถมยังเหลือเหล็กเส้นให้โผล่มาบนหลังคาอีกด้วย โดยสภาพบ้านที่เหมือนยังสร้างไม่เสร็จนี้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในบ้านนอกของเปรู เพราะว่าชาวบ้านต้องการประหยัดภาษี (หากสร้างเสร็จจะต้องเสียภาษีบ้านที่เรทแพงกว่าบ้านที่ไม่เสร็จ) ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง Puno เมืองที่มีทะเลสาบธรรมชาติสูงเหนือน้ำทะเลถึง 4,200 เมตร (บางที่บอก 3,800 เมตร ตอนนั้นเข้าใจว่าสูงที่สุดในโลก แต่จริงๆคือสูงที่สุดสำหรับทะเลสาบที่เดินเรือได้... งงไปอีก) Puno เป็นเมืองที่ใหญ่ทีเดียว แม้ว่าไม่เจริญเท่า Cusco แต่ว่าก็มีการพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว บรรยากาศโดยรวมก็ค่อนข้างปลอดภัยพอประมาณ พอเข้าเมืองมานี่สิ่งที่มองหาอย่างแรกคือ โรงพยาบาล เพราะถ้าเกิดอาการหนักขึ้นมาถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาลจะได้รู้ว่าควรไปมั้ย ... ซึ่งดูแล้วโรงพยาบาล (สถานีอนามัย) ที่นี่ค่อนข้างโอเคนะ (จากการ google เมื่อคืนก่อนที่คุณนายป่วยหนัก มีหลายคนที่อาการหนักจนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อให้ออกซิเจน บางคนถูกส่งกลับ Lima เลยก็มี) ที่พักที่เราจองไว้อยู่ห่างจาก main square พอสมควร (ประมาณ 6 บล็อค) แต่ก็เดินได้ ทุกอย่างใน Puno นี้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ main square ไม่ว่าจะโรงแรม หรือร้านอาหาร ดังนั้นแนะนำให้นอนใกล้ๆ main square จะดีกว่าค่ะ เวลาเดินในเมือง Puno นี้ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาเดินเที่ยวในตัวเมืองต่างจังหวัดบ้านเรา ฟุตบาทลุ่มๆดอนๆ เพราะมีการขุดทำท่อเป็นระยะๆ มีร้านค้าห้องแถวตลอดถนน คนนั่งรอในคลีนิคหมอแบบไม่ติดแอร์ (ก็อากาศบ้านเค้าเย็น) โรงแรมที่เราพักวันนี้เป็นโรงแรมห้องแถวชื่อ Cantuta Inn ถึงแม้จะเป็นห้องแถวแต่ว่าบริการดีมาก เริ่มตั้งแต่บริการรับส่งสถานีรถบัสฟรี ช่วยยกกระเป๋า ช่วยโทรคอนเฟิร์มบริษัททัวร์ และให้คำแนะนำร้านอาหาร ที่ดีที่สุดคือภาษาอังกฤษของ reception ใช้ได้ดีทีเดียว เสียนิดเดียวที่เราได้ห้องพักด้านติดถนน ทำให้หนวกหูอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับราคาแล้วก็ยังคือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอยู่ เราเดินไปทานอาหารที่ main square ตามที่โรงแรมแนะนำ คือร้าน Mosja โชคดีมากว่าได้โต๊ะสุดท้ายพอดี (ที่ Peru นี่ร้านไหนติดอันดับ Tripadvisor คือต้องโทรจองนะคะ ไม่งั้นอด) อาหารที่เราสั่งก็คล้ายกับทุกมื้อที่ผ่านมา ขาดไม่ได้ คือ ceviche’ แต่ร้านนี้ออกเปรี้ยวไปหน่อย อีกจานที่สั่งคือ Anticucho (ปลาเสียบไม้ย่าง คล้ายๆ kebab) สั่งน้อยเพราะไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหารเท่าไหร่ คิดว่าเพราะอาการแพ้ความสูงนี่แหละค่ะ ถึงแม้จะไม่ enjoy อาหาร แต่ว่า enjoy shopping นะ ฮ่าๆๆ ร้านข้างๆร้านอาหารคือร้าน Sol Alpaca ซึ่งขายพวกเสื้อผ้า หมวก สเวตเตอร์ ทำจากขน Alpaca ค่ะ ราคาไม่แพงนะ เลือกอันที่ discount ก็ยิ่งคุ้มค่ะ เพราะว่าของพวกนี้ที่ประเทศอื่นขายแพงมากๆ Titicaca tour สำหรับทะเลสาบ Titicaca มีทัวร์ให้เลือกหลายรูปแบบค่ะ ทั้งแบบครึ่งวัน เต็มวัน ค้างคืนก็มี และมีหลายยี่ห้อมาก ถ้าไปแค่ Uros หรือว่าเกาะ man made ราคาต่อคนแค่ $10-20 เพราะว่าใกล้ๆ ใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมง ถ้าไปไกลกว่านั้นก็จะมีการพาขึ้นไปทัวร์เกาะจริงๆด้วย ซึ่งเราเลือกทัวร์ Taquile + Uros ชื่อทัวร์คือ Titicaca uncover ของ Edgar Adventure ทัวร์นี้ได้อันดับต้นๆใน tripadvisor เลย ข้อแตกต่างจากทัวร์อื่นก็คือ ทัวร์นี้พาไปในส่วนของ Taquile ที่ทัวร์อื่นไม่ค่อยพาไป และพาไป Uros ในช่วงเวลาต่างจากทัวร์อื่น ทำให้ไม่ต้องไปเบียดกับใคร (ตอนก่อนมา คุณนายซ่าส์อยากซื้อทัวร์แบบออกไปนอนบนแพ หึหึ แต่เรายั้งไว้ ... ดีนะ เพราะสภาพนี้เราก็ไม่กล้าไปนอนบนแพค่ะ กลัวนางแพ้ความสูงขึ้นมาตอนกลางคืนจะแย่เอา) เช้ามา รถมารับเราแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาสั้นๆไปที่ท่าเรือ โดยเรือที่เราจะโดยสารวันนี้เป็นสปีดโบ๊ทขนาดใหญ่ น่าจะจุคนได้สัก 50-60 คน แต่วันนี้มีลูกทัวร์ประมาณ 40 คน เกินครึ่งมาจากอเมริกาเหนือ (US, Canada) ที่เหลือมาจากยุโรป และแน่นอนว่าเราสองคนเป็นเอเชียคู่เดียวบนเรือ บนเรือลำนี้มีถัง oxygen สำหรับปฐมพยาบาลเช่นกันค่ะ ระหว่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายแรก ไกด์ก็เล่าเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับ Titicaca ให้ฟัง (ทัวร์อื่นก็คงเล่าเรื่องเดียวกัน เพราะว่าเราอ่านเจอในไกด์บุ๊คก่อนหน้านี้) เช่น Titicaca ต้องอ่านว่า ติติคาค่า ไม่ใช่ ติติกาก้า เพราะว่าคำว่า กาก้า แปลว่าอึ >.< เรื่องพื้นที่ของทะเลสาบ Titicaca ที่ว่า 60% เป็นของเปรู และอีก 40% เป็นของโบลิเวีย แต่หากไปถามชาวโบลิเวีย เค้าจะบอกว่า 60% น่ะอยูในโบลีเวียต่างหาก! นอกจากนี้ยังมีความรู้เกี่ยวกับจำนวนเกาะธรรมชาติและจำนวนเกาะ man made (แต่เราจำไม่ได้ละ) เกาะแรกที่เราจะไปกัน ก็คือ Taquile ซึ่งเป็นเกาะธรรมชาติที่ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ ความเจริญบางอย่างอาจจะเข้ามาบ้าง เช่น โรงเรียน ห้องน้ำ หรือ ทีวี แต่หลักๆผู้คนก็ยังคงมีอาชีพหลักคือเกษตรกรรมและงานทอผ้า จากท่าเรือ เราต้องเดินขึ้นเนินกันสักเล็กน้อยเพื่อข้ามไปยังอีกด้านนึงของเกาะ จริงๆแล้วทางไม่ได้ชันมาก และก็ไม่ได้ไกลเลย แต่ว่าอากาศเบาบางทำให้เล่นเอาหอบไปเหมือนกัน (ตอนแรกเราลังเลว่าจะซื้อทัวร์นี้ดีมั้ย หรือจะไปแค่ uros เพราะว่ากลัวคุณนายจะแพ้ความสูงจนเดินไม่ไหว แต่ว่า reception ที่โรงแรมบอกว่าไม่ได้เดินเยอะขนาดนั้น น่าจะไหว ก็เลยตกลงซื้อทัวร์นี้) ก็ไม่ใช่แค่เรา ฝรั่งทั้งหลายก็หอบกันถ้วนหน้า ระหว่างทางเด็กๆชาวเกาะก็เอาผ้ามาปูขายของ พอพวกเราเดินลับตา เด็กน้อยก็ห่อผ้าเดินกลับบ้าน จากนั้น หัวหน้าหมู่บ้านมาพบพวกเรา และพาเดินไปเพื่อสำรวจหมู่บ้าน เนื่องจากหมู่บ้านนี้มีชื่อเสียงในการทอผ้า จึงมีหลายๆอย่างที่ใช้ผ้าเป็นสัญลักษณ์ เช่น หนุ่มโสดจะใส่หมวกสีขาว ส่วนคนที่แต่งงานแล้วจะใส่สีแดง (ถ้าเป็นหม้ายก็จะกลับมาใส่สีขาวเหมือนเดิม) และผู้หญิงจะคัดเลือกผู้ชายจากฝีมือถักผ้า (ผู้หญิงทอ ผู้ชายถัก) ถ้าฝีมือไม่ดี ผู้หญิงก็มีสิทธิปฏิเสธการสู่ขอได้ ส่วนผู้หญิง ถ้าฝีมือทอผ้าดี ผู้ชายก็จะใส่ด้วยความภาคภูมิใจ นอกจากทอผ้าแล้ว อาชีพของคนที่นี่ก็คือเกษตรกรรม ทั้งปลูกผัก ปลูกมัน หาปลา เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งของหมู่บ้านนี้คือการฝังศพ ซึ่งจะฝังไว้ในบริเวณบ้านให้รู้สึกเหมือนกับว่าผู้ตายไม่ได้ไปไหน และเวลาจัดงานศพก็เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นงานรื่นเริงเพราะเป็นการรวมญาติและมีการเลี้ยงอาหารใหญ่โต ไกด์และหัวหน้าหมู่บ้านพาเราเข้าไปเยี่ยมชมในหมู่บ้าน มีการแสดงการเต้นรำแบบพื้นเมือง สาธิตการทอผ้า และขายสินค้าที่ทำโดยคนในหมู่บ้าน ในส่วนนี้มันก็ดูขัดๆเขินๆประมาณนึงเพราะว่าเป็นการจัดเตรียมมาแสดง ไม่ได้ให้เราเดินเข้าไปดูระหว่างที่เค้าทอผ้าจริงๆ เราก็เข้าใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ tourism แต่ลูกทัวร์บางคนก็ดูจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ เมื่อช้อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาเดินกลับลงไปอีกด้านหนึ่งของเกาะ เพื่อลงเรือไปยังจุดต่อไปซึ่งเป็นจุดรับประทานอาหารกลางวัน โดยอาหารกลางวันมื้อนี้พิเศษมากเพราะเป็นการปรุงแบบดั้งเดิม คือหมกอาหารไว้ในดินแล้วจุดไฟ และมีพิธีกรรมการสวดมนต์ขอพรด้วย อาหารที่ “อบ”แบบธรรมชาตินี้ได้แก่ มันฝรั่ง ผักต่างๆ ปลา และไก่ โดยรวมก็ถือว่าอร่อยใช้ได้ (เมื่อเทียบกับที่กินๆมาในทริปนี้) กิจกรรมยามบ่ายของเราคือการไปเกาะ Uros ซึ่งเป็นเกาะ man made ที่หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง การสร้างเกาะนี้ เค้าจะเอา Reeds (ต้นกก) ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นในทะเลสาบมาทับๆกันเหมือนเป็นแพและยึดแพกกไว้ด้วยสมอเพื่อไม่ให้แพเคลื่อนที่ โดยเมื่อเวลาผ่านไปชาวบ้านจะต้องนำ Reed ใหม่มาปูทับ reed ที่เน่าเปื่อย พอนานวันเมื่อปูเจ้า reed ทับไปหลายๆชั้นเข้า แพ หรือว่า เกาะ นี้ก็จะหนาจนแทบจะติดพื้นทะเลสาบ เมื่อนั้นก็แปลว่าถึงเวลาต้องสร้างเกาะใหม่กันแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อความเจริญจากภายนอกเริ่มแผ่มาถึง คนที่เคยอยู่บนเกาะเทียมนี้ก็พากันย้ายขึ้นฝั่งไปหมด จนตอนนี้เหลือเกาะเทียมอยู่ไม่กี่เกาะเท่านั้น มีการคาดการณ์กันว่าอีกไม่นาน เกาะเทียมนี้ก็น่าจะสูญพันธุ์ บนเกาะ Uros นี้เล็กกว่าที่เราจินตนาการไว้มาก น่าจะแค่สนามแบดมินตันได้ รอบๆเกาะถูกสร้างบ้านไว้เหมือนเป็นตัว U เว้นไว้แค่ด้านเดียวสำหรับขึ้นลงเรือ พวกเรานั่งลงที่ด้านหนึ่ง แล้วตรงกลางก็เป็นพื้นที่สาธิตการสร้างเกาะ หลังจากสาธิตกันเสร็จชาวบ้านให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูในบ้านได้ แต่เราไม่ได้เข้าไป รู้สึกเหมือนบุกรุกบ้านเค้า ก็เลยเลือกไปลงเรือแทน โดยเรือนี้ก็สร้างจาก reed เหมือนกัน นั่งกินลมชมวิวไปสักพักก็เพลินๆดีคุยกับเพื่อนร่วมทริป เรื่องอาการแพ้ความสูง ก็พบว่าคนเป็นกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะมาจากประเทศอะไร ปล. ไม่มีรูปจากบนเกาะเลย จำไม่ได้ว่าไม่ได้ถ่ายเพราะเกรงใจเค้า หรือว่ามันอยู่ใน folder ที่ไฟล์เสียก็ไม่รู้ เป็นอันว่าจบโปรแกรมทัวร์ของวันนี้ เราให้รถไปส่งที่จัตุรัสแทนที่จะส่งที่โรงแรม ได้เดินเล่นรอบๆ แวะกินขนมซึ่งเป็นร้านดังของที่นี่ บรรยากาศน่ารักมาก และขนมก็อร่อย เสียอย่างเดียวคือเจ้าอาการแพ้ความสูงนี้ทำให้เราต้องงดคาเฟอีน แต่ด้วยความอยากลอง เราก็เลยสั่งมอคค่า เล่นเอาคลื่นไส้ไปอีกหนึ่งวันเต็ม แต่ยังดีที่หลังจากวันนี้เราจะค่อยๆเดินทางลงสู่ที่ต่ำกว่า ก็เลยไม่แย่มาก จาก Puno ซึ่งอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู เราจะเริ่มเดินทางขึ้นไปทางตะวันตก แล้วค่อยขึ้นไปทางเหนือจนถึงลิม่า - เมืองหลวง
เดิมที จุดหมายต่อจาก Puno ของเรา คือ Arequipa เมืองใหญ่อันดับสองของเปรู แต่จากรีวิว สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของ Arequipa คือการออกไป Colca Canyon ซึ่งจากแผนที่ Colca canyon อยู่ระหว่าง Arequipa กับ Puno ดังนั้นเราก็เลยจะแวะ colca canyon กันก่อน ... โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ :)
0 Comments
Leave a Reply. |
Peruปุบปับเปรู Categories |