Launceston เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของแทสมาเนีย รองจาก Hobart ค่ะ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์จาก Tamar Valley
จาก St. Helens ใช้เวลาประมาณเกือบๆ สามชั่วโมง กว่าจะถึง Launceston ใครเป็นคอไวน์ ลองเข้าไปเลือกไร่ที่อยากแวะก่อนเลยค่ะ เพราะว่า Tamar valley เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของแทสมาเนียซึ่ง Tamar Valley นี้ครอบคลุมตั้งแต่ตอนใต้ของ Launceston จนถึงเหนือสุด แต่เนื่องจากเราไม่มีเวลาเลยไม่ได้แวะ
สุดท้ายก็ไปแวะ historic site แทน … ชื่อว่า Woolmers Estate (http://www.woolmers.com.au/ ) ที่นี่เป็นหมู่บ้านเก่า เข้าไปแล้วเหมือนอยู่ในหนังย้อนยุคเลยค่ะ แต่ว่าค่าเข้า กับความน่าสนใจดูจะไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่ (เท่าที่ทำ research ก่อนไปเค้าก็ว่าไว้แบบนี้แหละ เลยไม่ได้ใส่เข้าไปในแพลน แต่ว่าพอหน้างาน เกิดอาการปวดฉี่ค่ะ ก็เลยอยากแวะอะไรสักอย่างก่อนถึงเมือง Launceston ถือเป็นค่าเข้าห้องน้ำที่แพงมากอยู่)
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่ Cataract Gorge ซึ่งเป็น attraction อันดับต้นๆของ Launceston Cataract Gorge เป็นอ่างเก็บน้ำ มีสวน สระน้ำ คาเฟ่ เป็นการเดินเล่นเพลินๆค่ะ ที่พลาดไม่ได้คือการนั่ง chair lift นี่คือครั้งแรกของเราเลย และไม่อยากจะเชื่อว่า ทริปนี้ยังต้องนั่งอะไรแบบนี้อีกหลายครั้ง >.< บอกนิดนึงว่า ทางเข้า Cataract Gorge นี้มีสองทางค่ะ ให้ไปทาง Basin Road นะคะ เพราะเจ้า GPS ดันพาเราไปทาง Gorge Rd. ปรากฏว่าทีจอดรถน้อยมากเลยต้องไปจอดริมทางลงเขา แล้วตอนกลับต้องเดินขึ้นบันไดไปซะสูง เล่นเอาหอบเลย Overall Cataract Gorge ก็ไม่ได้มีอะไรมากนะคะ เน้นมาสูดอากาศชิลๆ ถ้าเวลาไม่พอก็ไม่ต้องแวะมาก็ได้ค่ะ
gLจริงๆแล้วใน Launceston จะมีส่วนของเมืองเก่าที่น่าเดินเล่นด้วยค่ะ แต่ว่าเราเลือกออกไปพักนอกเมืองเพราะว่าจุดหมายหลักของคืนนี้คือ เรามีนัดกับน้องเพนกวิ้นค่ะ
Penguin ที่ Tasmania นี้ มีเพนกวิ้นเกือบทุกด้านของเกาะ ยิ่งถ้ามาในฤดูของเค้าก็จะเจอน้องกวิ้นเป็นร้อยๆตัว หลายๆหาด นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปชมเพนกวิ้นได้เอง บางหาดมีเจ้าหน้าที่พาชมฟรี บางหาดเป็นบริษัทที่มีเจ้าหน้าที่มาคอยบรรยายและคิดเงิน ทั้งนี้ให้ลองดูตามฤดูนะคะ ถ้ามาช่วง พ.ย. - กพ. ก็จะเจอร้อยตัวขึ้นไป แต่ช่วงอื่นๆก็จะแค่หลักสิบค่ะ ถ้ามาช่วงที่เยอะๆ เราว่าไม่ต้องเสียเงินก็ได้นะ เดินๆเองก็น่าจะเจอ แต่ว่าต้องเตรียมอุปกรณ์คือ ไฟฉายคลุมด้วยกระดาษแก้วสีแดง เพราะว่าถ้าไม่คลุม แสงไฟจากไฟฉายจะจ้าจนทำร้ายเพนกวิ้นค่ะ จุดชมเพนกวิ้นที่นิยมกัน ได้แก่
เรานอนที่ Low Head Tourist Park เพราะว่าใกล้จุดชมเพนกวิ้นดี ไม่อยากขับรถตอนมืดๆในแทสมาเนีย จาก Launceston มาถึง Low Head นี้ขับรถค่อนข้างง่ายค่ะ ใช้ Highway เลยแป๊บเดียวถึง ระหว่างทางจะมีเมืองใหญ่ที่มีของกินคือ George town ซึ่งเราแวะซื้อปลาสด และหอยนางรมกัน ก่อนที่จะเข้าที่พัก เย็นวันนั้นฝนเริ่มตก และลมแรงมาก ตอนแรกเราก็กลัวว่าจะยังออกไปดูเพนกวิ้นได้มั้ย แต่ไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยขับรถออกไปดู ถ้าเค้าเปิดก็แสดงว่าดูได้ ... Low Head Penguin Tour จะมี ticket office เล็กๆอยู่ริมหาด ไปตาม google map ได้เลยค่ะ จ่ายค่าตั๋วแล้วก็นั่งรอในรถน่ะแหละ เพราะว่าฝนตกและลมแรงมาก เราใส่ชุดกันหนาวและกันลมแบบเต็มที่เท่าที่มีแล้วนะ แต่ว่าพอออกไปยืนตากลมสักพักก็ไม่ไหวละ ต้องหลบหลังเพนกวิ้นยักษ์ที่พาไปด้วย พอเริ่มมืด ทัวร์ก็เริ่มตั้งแถวค่ะ คนเยอะเหมือนกัน ประมาณ 30 คนเห็นจะได้ มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 5 คน เจ้าหน้าที่จะพาเดินลงไปที่ชายหาด บรรยายถึงน้องกวิ้นตัวน้อย ระหว่างนั้นเราก็จะเห็นเพนกวิ้นน้อยว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง บางทีเห็นมันโดนคลื่นแรงๆซัดแล้วสงสัยว่าไม่เจ็บหรือไง
เพนกวิ้นที่แทสมาเนียนี้ ชื่อว่า fairy penguin ซึ่งเป็นเพนกวิ้นที่ตัวเล็กที่สุดในโลก มันจะทำรังอยู่ในโพรงตามชายหาด และว่ายนำออกไปหากินตอนกลางวัน (ก่อนสว่าง) และกลับเข้ามาตอนพระอาทิตย์ตกดิน มันมองไม่เห็นเราค่ะ ดังนั้นคือจะยืนใกล้แค่ไหนก็ได้ แต่ห้ามแตะนะคะ และห้ามส่งเสียงดัง ห้ามส่องไฟที่ไม่ได้หุ้มกระดาษสี
เจ้าหน้าที่ให้พวกเรายืนตั้งแถวตรงทางเดินเข้าบ้านกวิ้น มีคนนึงยืนกางขา ให้เพนกวิ้นเดินลอด แต่ว่าตลกที่สุด ตรงที่กวิ้นไม่ยอมตรงเข้าบ้าน แต่ว่ามาเดินพัวพันอยู่กับลูกทัวร์คนนึง เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาทีค่ะ แฟนเราบ่นว่าแพง แต่เราว่าคุ้มนะ เพนกวิ้นน้อยน่ารักมากๆ คลิปเพนกวิ้นด้านล่าง ถ้าดูไม่ได้ คลิก ที่นี่ ค่ะ
จุดหมายถัดไปของเรา คือ Stanley ซึ่งจริงๆแล้วทำให้วงกลมของเราต้องย้อนไปย้อนมา แต่ว่าพอดูรูปแล้ว เจ้าติ่ง The Nut นี่มันดึงดูดใจยังไงไม่รู้ค่ะ ฮ่าๆๆ เราก็เลยใส่เข้ามาในแพลนด้วย
ก่อนอื่นก็แวะ Tamar valley ที่เมื่อวานข้ามไปก่อน แต่เนื่องจากไร่ไวน์ที่อยากไปดันปิดซะงั้น ก็เลยอด นอกจากไวน์แล้ว บริเวณ Tamar Valley ยังมีพวกไร่เบอร์รี่ แต่ว่าหมดฤดูไปแล้วค่ะ ช่วงที่เราไปเป็นการเก็บแอปเปิ้ล ก็เลยไม่ได้แวะ นอกจากนี้ก็มี Historic site อีกแห่งนึง คือ เหมืองทอง หรือว่า Beacons Field ที่นี่เคยเกิดอุบัติเหตุเหมืองถล่ม เป็นข่าวดังมาก หลังจากช่วยชีวิตคนงานออกมาได้ ก็ยังดำเนินการต่อ แต่ว่าตอนนี้ปิดไปแล้วด้วยราคาทองและปริมาณทองที่ลดลง ที่นี่เคยเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงหมู่บ้านนี้เลยก็ว่าได้ เพราะว่าช่วยให้คนมีงานทำ ในพิพิธภัณฑ์ก็มีการจัดแสดงอุปกรณ์ทำเหมืองทองพอประมาณ ก็น่าสนใจดีค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. (จริงๆก็ไม่ได้เป็น a must นะคะ จะข้ามไปก็ได้) ถัดไปจะเป็นเมืองใหญ่ คือ Devonport ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของแทสมาเนีย ถ้าใครนั่งเฟอร์รี่มาจากเมลเบิร์น ก็จะมาขึ้นที่นี่แหละค่ะ ที่นี่ไม่มีไรให้เที่ยว แต่ว่าเนื่องจากเป็นเมืองใหญ่เราก็เลยแวะเติมน้ำมัน และซื้ออาหารตุนไว้ ระหว่างทางไป Stanley เราก็ขับด้านเหนือของ Tasmania ซึ่งเป็น Highway จากตอนกลางไปฝั่งตะวันตกเลยค่ะ แต่บางช่วงก็อดใจไม่ได้ แวะออกมาขับเลียบหาดตามตัวเมือง เช่น Penguin town ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรนะ มีแต่รูปปั้นเพนกวิ้นซึ่งแฟนเราบอกว่า ทำไมมันขี้เหร่จัง ฮ่าๆ แถบๆนี้ จุดแวะน่าสนใจ จะมี โรงกลั่นวิสกี้ Hellyers road distillery จริงๆน่าแวะมากนะคะ แต่ว่าเวลาไม่พอ เลยไม่ได้แวะ นอกจากนี้ก็มี Table Cave lighthouse ซึ่งตรงนี้ถ้ามาช่วง spring (Sep – Oct) ก็จะเห็นทิวลิปสวยงามสุดๆ แต่ถึงจะไม่มีทิวลิปก็ยังได้เห็นวิวจากมุมสูงนะ
Stanley
ตลอดทางมา Stanley นี้วิวสวยมากค่ะ มองไปข้างทางไม่มีเบื่อเลย แถมมีสายรุ้งมาโชว์ตัวเป็นพักๆ เพราะว่ามีทั้งแดดทั้งฝนตามเคย ตอนที่จะถึง the Nut มีรุ้งสวยมาก พาดบน the Nut พอดี แต่คนขับไม่ยอมจอดให้เราลงไปถ่ายรูป นางปวดฉี่ >.< อดเลย วันนี้ที่พักของเราเป็น self contained เช่นเคยค่ะ ชื่อว่า Stamp of Stanley เป็นที่เดียวที่ถ่ายรูปไว้ เพราะว่าห้องใหญ่อลังการมาก ชอบที่สุดตอนนั่งเก้าอี้หน้าเตาผิง แล้วอ่านหนังสือ ตอนกลางคืนก็เอา board game มาเล่นกัน เป็น ยาย-ยาย สไตล์ มากๆ ฮ่าๆ (เรารัก moment แบบนี้มากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะเล่นแพ้ตลอด แต่ว่ามันมีความสุขอะ <3 ) อาหารที่นี่ ...วันนี้ไม่ได้ทำเอง เพราะไม่ได้ซื้อของสดมา แต่ไปซื้อแบบ takeaway มาจากร้านซีฟู้ดชื่อดังของที่นี่ จริงๆมาถึงแทสมาเนีย ควรจัด lobster หรือ Crayfish สักมื้อ แต่เค้าไม่ขาย take away จะนั่งกินที่นี่ก็แสนแพง เลยสั่งแค่ crayfish cocktail ... พบว่าเนื้อมันหวานเด้งมาก...ฟิน แล้วก็เอา fish & chips กลับมานั่งกินที่ระเบียงห้องพัก จิบไวน์ที่ซื้อมาจาก supermarket แค่ขวดละไม่กี่ร้อยบาทก็เคลิ้มละค่ะ ...จบวันดีๆหน้าเตาผิงอย่างที่บอก
สำหรับที่ท่องเที่ยวที่ Stanley มีสองที่ที่พลาดไม่ได้ คือ ข้างบน the Nut (Top of the Nut) กับ Highfield historic site (ที่แทสมาเนียก็มีแค่สองอย่างนี่แหละ คือ ธรรมชาติ กับ ประวัติศาสตร์)
เริ่มจาก Highfield กันก่อน ที่นี่เป็นบ้านเก่าสมัย Van Deimen company ของอังกฤษเข้ามาบุกเบิกแทสมาเนีย ตั้งแต่ปี 1832 เป็นบ้านที่มีเรื่องราวน่าสนใจมาก แต่เป็นจุดชมวิว The Nut ที่ดีมากด้วยค่ะ ยังคงเสียดายที่เมื่อวานไม่ได้ขึ้นมาตอนพระอาทิตย์ตก T_T ส่วน Top of the Nut สามารถเดินขึ้น หรือนั่ง chair lift ก็ได้ค่ะ แต่สำหรับเรา เห็นความชันแล้วคิดว่านั่งเก้าอี้ขึ้นไปแล้วเดินลงดีกว่า ด้านบนของ the Nut จะมีลักษณะเป็นภูเขายอดตัด เส้นทางเดินง่ายมากค่ะ เป็นวงกลม และเดินสะดวก วิวสวย ที่นี่เป็นหนึ่งในเส้นทาง the great short walk ของ แทสมาเนียด้วย ตอนเดินข้างบนไม่เหนื่อยนะ แต่อีตอนเดินลงนี่ชันมากจริงๆ สงสารคนแก่ๆที่เดินสวนขึ้นมาเลย อยากจะบอกว่าไปนั่งเก้าอี้เถอะ คุ้ม!
0 Comments
Leave a Reply. |
เลือกดูตามประเทศNew Zealand
Australia - Tasmania Archives
May 2021
Authorจาก Rainy in the blue sky ในพันทิป |