ไทเปนี่อยู่ในลิสท์ของเรามาหลายปีดีดัก ตั้งแต่ Airasia บินตรงเมื่อครั้งก่อนนู้น จนปิดเส้นทาง จนเปิดใหม่อีกรอบ จนมี low cost เพิ่มขึ้นมากมายหลายสายการบิน เราก็ยังไม่ได้ไปสักที จนปะเหมาะเคราะห์ดีที่รัฐบาลประกาศเพิ่มวันหยุดเป็นกรณีพิเศษให้เลยได้หยุดติดต่อกัน 5 วัน ... น้อยไปสำหรับญี่ปุ่น มากไปสำหรับทริปในประเทศ ... บังเอิญยิ่งกว่า ที่ได้ตั๋วการบินไทยราคาโปรโมชั่นแบบฟลุ้คๆ เราก็เลยได้มาตะลุยไทเปกัน แต่ช่วงเวลาที่เรามานี้ไม่เหมาะกับการมาไต้หวันเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นช่วงร้อน+มรสุม (เดือน ก.ค.- ก.ย.) ซึ่งอากาศร้อนมากๆ และถ้าเกิดพายุเข้าก็ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในโรงแรมไปยาวๆ .... นอกจากนี้ ทริปนี้เรามีแขกรับเชิญพิเศษ คือ พ่อและแม่ ซึ่งอายุมาก (และเรื่องมาก) ดังนั้น เราก็เลย play safe โดยการไม่ไปเมืองไกลๆ แต่ว่าเที่ยวแบบ one-day trip จากไทเปแทน และใช้บริการแท็กซี่เป็นส่วนใหญ่ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อทริปนี้ว่า slow (เที่ยวช้าๆแบบคนแก่) and sweat (ร้อนมาก เหงื่อแตกตลอดวัน) แต่ก็ยังดีที่เจอฝนไม่เยอะมาก ไม่งั้นงานกร่อยแน่ เนื่องจากรีวิวไต้หวันในแบบ hipster นี้มีมากมายใน pantip แล้ว ... Jazzyrain จึงขอเสนอทริปไต้หวันแบบผู้ใหญ่ๆแล้วกันค่ะ :) การเตรียมตัว: ปัจจุบันนี้คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าแล้ว ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก จองโรงแรม จองรถกันตามปกติ ส่วนเรื่องเงิน ที่ไต้หวันใช้ NT Dollar เรทประมาณ 1.10 บาท ต่อ 1 NT$ เราแลกจาก Superrich ไปเลยค่ะ Day1: เราเลือกไฟลท์เย็นจากกรุงเทพ ไปถึงไทเปตอนดึกเพื่อที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้เริ่มเที่ยวได้เลย โดยเราจองรถแท็กซี่ล่วงหน้าไว้เลยค่ะ จะได้ไม่ต้องคอยเรียกจากที่สนามบิน สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมตัวมา คือ คิวอันยาวเหยียดที่ต.ม. เราใช้เวลาในแถวเกือบๆชั่วโมงกว่าจะได้ผ่านด่าน ดังนั้นตอนออกมาจึงเกือบๆจะเที่ยงคืนแล้วค่ะ เมื่อรับกระเป๋าเรียบร้อย เดินออกมา เลี้ยวขวา จะเจอเคาน์เตอร์ขาย sim card อยู่ขวามือ โดยมี 3 ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็มี package ไม่ต่างกันมากค่ะ แนะนำว่าเลือกตามจำนวนวันที่จะอยู่ในไต้หวันเลย package พวกนี้หาซื้อได้ที่สนามบินเท่านั้นนะคะ เมื่อเปลี่ยนซิมเสร็จแล้วให้ลองใช้งานดูก่อนค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้ให้พนักงานแก้ไขให้เลย โดยเคาน์เตอร์ซิมการ์ดนี้เปิดถึงเที่ยงคืน แต่ว่าถ้ามีคนต่อคิวอยู่เค้าก็ยังไม่ปิดนะคะ สบายใจได้ สนามบิน international นี้ ชื่อ เถาหยวน ซึ่งจะอยู่ห่างจากตัวเมืองไทเปประมาณชั่วโมงนึงค่ะ โรงแรม: เราแนะนำให้เลือกโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเพื่อความสะดวกนะคะ เดินน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เรานอนที่โรงแรม Via Hotel Taipei Station อยู่กึ่งกลางระหว่าง Main Station กับ Xi Men ก็เลยแอบเดินไกลนะ แต่ส่วนใหญ่ใช้แท็กซี่เป็นหลักก็เลยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่โรงแรมนี้ดีมากตรงที่มีน้ำและขนม (รวมทั้ง soft cream) ที่ pantry บริการ 24 ชม. แถมตอนกลางคืนมีมาม่าให้อีกด้วย Day2: วันนี้ตามพยากรณ์อากาศน่าจะร้อนจัด โปรแกรมของเราเลยเน้นในร่ม โดยตอนเช้าไปตลาดปลาไทเป หรือว่า AAD ที่เค้าฮิตกัน ... บอกตรงๆว่าไม่เท่าที่คาดหวัง จากที่รีวิวทุกอันบอกว่าปลื้มมาก แต่เราเฉยๆมาก ตลาดค่อนข้างเล็ก แต่คนเยอะ และปลาก็ไม่ได้สดฟินขนาดนั้น (นี่ขนาดเรายังไม่เคยไปญี่ปุ่นนะ) ถัดมา คือ National Palace Museum ซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติจากพระราชวังต้องห้ามในจีนที่ถูกขนย้ายออกมาไว้ที่ไต้หวัน ว่ากันว่าสิ่งของมีค่าเหล่านี้มีเป็นแสนชิ้น จนจัดแสดงกันไม่ไหว พิพิธภัณฑ์มีสามชั้น ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณสองชม.กว่าๆ ... ถามว่าดีมั้ย ก็ตอบว่าดี แต่ขัดใจเรื่องการจัดแสดง (presentation) มันเชยมากและดูไม่น่าสนใจเอาซะเลย แม้แต่การจัดแสง หรือจัดหมวดหมู่ก็ยังดูขัดหูขัดตา เสียดายสมบัติมีค่าเหล่านี้ ที่ถูกนำมาวางเรียงๆกันในตู้แบบไม่ได้ไยดีมากนัก แต่ก็อย่างว่า ค่าเข้าชมแค่ 250NT (ในรีวิวบอกว่า ควรใช้ audio guide จะได้อรรถรสในการชมมากกว่ามากค่ะ) tips: ถ้าใครต้องการใช้เครื่องบรรยาย (audio guide) จะต้องไปต่อแถวแยกจากแถวซื้อตั๋ว (ถ้าไปสองคนก็แยกย้ายกันได้เลย) แต่ว่าเวลาเช่า audio guide จะต้องมี passport ด้วยค่ะ จากนั้นก็กลับมางีบ (ตอนบ่ายแก่ๆแว่บไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อข้างๆโรงแรมก่อนด้วย แต่เป็นร้าน Local มากๆ ไม่มีภาษาอังกฤษใดๆ งานนี้ใช้ภาษามือล้วนๆ ชี้ๆเอา ... ปรากฏว่า ส่วนที่เป็นเครื่องในเนื้อนี่อร่อยมากๆ ร้านนี้ชื่อ Laopai Niurou Lamian Dawang) ก่อนจะออกไปเดินเล่นที่ Ximending ตอนเย็น มื้อเย็นนี่จัด hot pot ไปตามระเบียบ ชาบูที่นี่เราว่าเด็ดที่น้ำซุป และลูกชิ้น ส่วน ximending ก็คือสยามดีๆนี่เอง คนเลยวัยรุ่นอย่างเราก็รู้สึกปวดหัวกับฝูงชนเล็กน้อย >.< จากที่ตั้งใจว่าจะไปเดินตลาดกลางคืนต่อก็เป็นอันพับไปก่อน กลับไปนอนแทน Zzzzz Day3: วันนี้เน้นอยู่ในเมือง โดยเริ่มจาก Chiang Kai Chek Memorial Hall - ที่นี่มีอะไรกว่าที่คิด คือจะมีเหมือน museum จัดแสดงประวัติของ CKC นอกจากนี้ยังได้ดูการเปลี่ยนเวรของทหารหน้าอนุสาวรีย์ท่านเจียงอีกด้วย จากนั้นก็ไปกันที่ landmark Taipei อย่าง Taipei 101 ตอนแรกหมายมั่นว่าจะกิน Din Tai Fung ซะหน่อย แต่ว่าคนเยอะมากเป็นร้อยคิว เลยต้องหาทางหนีทีไล่ ... แต่ food court คนเยอะมากกกกก และร้านอื่นๆก็ไม่ค่อยมี สุดท้ายเลย go high เลยจ้า ไปกินกันบนชั้น 94 ซึ่งเป็นชั้นของร้านอาหารที่ค่อนไปทางไฮโซ พอดีเห็นชื่อร้าน Shin Yeh ซึ่งเป็น Original Taiwanese Cuisine ที่เราตั้งใจจะไปกินอยู่แล้วก็เลยตัดสินใจเลือกร้านนี้ โดยการขึ้นไปทานที่ชั้นบน จะมีราคาขั้นต่ำต่อคน คือถ้ากินไม่ถึงก็ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ว่าพนักงานจะคอยมาบอกให้สั่งให้ครบจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดเพื่อเราจะได้ไม่เสียประโยชน์ ถ้าจำไม่ผิด นั่งริมหน้าต่างต้องสั่งขั้นต่ำคนละ 2000$ แต่ถ้าไม่ริมหน้าต่าง 1800 มั้ง เราเลยเลือกริมหน้าต่าง เมนูมีทั้ง a la carte และ set menu จริงๆเซทก็คุ้มอยู่นะ แต่แม่เกิดไม่อยากกิน นางสั่ง a la carte ทำให้ยอดรวมไม่ครบ เลยต้องสั่งอาหารมาเพิ่มตอนหลังอีกสองสามอย่าง เล่นเอาอิ่มจนจุก (ขอแนะนำเมนูตับผัด...อร่อยมาก และเห็นโต๊ะข้างๆสั่งปู อีกโต๊ะนึงสั่งล็อบสเตอร์ เผื่อใครไม่ค่อยหิวก็สั่งเมนูแพงๆไปเลยจะได้ครบจำนวนเงิน) ทีแรกคิดว่าได้ขึ้นมาชมวิวจากร้านอาหารแล้วก็เลยจะไม่อยากเสียเงินขึ้นไปชั้นบนอีก เพราะลิฟท์คนละตัวกัน แต่ว่าเราอยากดูเจ้าลูกตุ้ม damper ที่เป็นศูนย์ถ่วงอาคารเพื่อช่วยเวลาแผ่นดินไหว เพราะว่าเราเคยดูสารคดีที่สร้างตึกนี้ สุดท้ายเลยเสียเงินขึ้นไปดูจนได้ เสียดายนิดนึงที่ฝนตก ทางอาคารเลยปิดส่วนที่เป็นระเบียงด้านนอก เจ้าลูกตุ้มนี้ทำหน้าที่ถ่วงดุลให้อาคาร เวลาที่เกิดแผ่านดินไหว ลูกตุ้มจะแกว่ง) ตกเย็น เราเลือกไป night market เล็กๆ ชื่อ Ning xia เพราะว่าอยู่ใกล้โรงแรมที่สุด ตลาดนี้มีแต่ของกินล้วนๆค่ะ แต่ว่ามีจำนวนไม่มาก เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว แต่ละร้านดู local จนไม่กล้าซื้อเพราะพูดไม่เป็น สุดท้ายมีร้านเผือกทอดคิวยาวมากๆเข้าตากรรมการ เลยไปลองต่อแถว... อร่อยเชียวล่ะ เผือกกวนหวานน้อยห่อไข่แดงและหมูหยอง แต่เรายังไม่อิ่ม...ท้องจึงเรียกร้องให้ไปตลาดใหญ่ชื่อดัง คือ Shilin นั่นเอง แต่เราพบว่าเกินครึ่งเป็นส่วนของเสื้อผ้า ซึ่งเราไม่สนอยู่แล้ว ต้องเดินลึกเข้าไปถึงจะเป็นร้านอาหาร ... แถวยาวที่สุดต้องยกให้ซาลาเปาอบโอ่ง ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะชิม อร่อยดีค่ะ หอมพริกไทยและที่ชอบที่สุดคือมันจะมีน้ำซุปอยู่ในซาลาเปาด้วย (เป็นน้ำของหมู) ร้านตรงข้ามซาลาเปาจะเป็นร้านน้ำ ทีแรกเรานึกว่าเป็นชา แต่จริงๆเหมือนเป็นสมุนไพรอะไรสักอย่างอร่อยมาก เป็นกลิ่นเหมือนเมนทอสเลย Day4: วันนี้เราจะออกนอกเมืองกัน เราเลือกวันนี้เพราะว่าเป็นวันจันทร์ คนจะได้ไม่แน่นมาก โดยเฉพาะจิ่วเฟิ่น เราเหมาแท็กซี่ ชื่อ คุณ ตี๋ เป็นแท็กซี่ไต้หวันที่พูดไทยได้ เพราะว่าเคยมาอยู่ไทยและภรรยาเป็นคนไทย (สามารถติดต่อคุณตี๋ได้ที่ LINE ID: thai8888888 หรือ fb page: https://www.facebook.com/wemisstaiwan ) แต่คุณตี๋แกอ่านไทยไม่ได้นะคะ และอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ค่ะ ดังนั้น add line ไปแล้วใช้โทรไลน์คุยกันนะคะ ส่วนหน้าเพจ ภรรยาเป็นคนดูแล ดังนั้นจึงตอบโต้กันเป็นภาษาไทยได้ค่ะ โปรแกรมของวันนี้เริ่มจาก (1) เย่หลิว ซึ่งเป็นอุทยานหินรูปร่างแปลกๆเพราะว่าโดนกัดเซาะจากลมและน้ำ ที่นี่ร้อนมากๆค่ะ แดดเปรี้ยงเลย (2) น้ำตกทอง เป็นจุดที่ขับรถผ่าน แวะถ่ายรูปสองนาที :) (3) ทะเลสองสี เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นน้ำทะเลกับน้ำตกที่มารวมกันเป็นสองสีค่ะ ใช้เวลาถ่ายรูปสองนาทีเช่นกัน (4) จิ่วเฟิ่น ตลาดโบราณ อารมณ์ดอนหวายย่อมๆ ขนาดมาวันจันทร์ก็ยังคนเยอะมากๆ ถ้ามาเสาร์อาทิตย์นี่ไม่ต้องเดินเลย เรียกว่าไหลตามกันไป ที่นี่มีร้านแนะนำโดยคุณตี๋ คือร้านวุ้นเส้น ซึ่งจะเสิร์ฟมากับลูกชิ้นเต้าหู้ หรือ น้ำแกงลูกชิ้นปลา บอกเลยว่าอร่อยมากๆค่ะ เดินเข้าไปไม่ไกลร้านจะอยู่ซ้ายมือ ถ้ามาตอนอากาศหนาวๆก็คงจะได้ฟินกับการจิบชาชมวิว แต่วันนี้ร้อนมากค่ะ เดินครบรอบแล้วก็เลยกลับเลย แถมต้องรีบหนีฝนอีกต่างหาก (5) น้ำตก Shifen - เราชอบที่นี่ที่สุด จากจุดจอดรถเดินเข้าไปประมาณ 15 นาทีค่ะ ทางเดินค่อนข้างสะดวก น้ำตกสวยอลังการพอสมควรเลยล่ะ เชียวชอุ่มมากๆ (7) หมู่บ้านรถไฟ Shifen ห่างจากน้ำตกประมาณห้านาทีค่ะ ที่นี่คนจะนิยมมาปล่อยโคม แต่ว่าเราไม่ได้ปล่อย เดินเล่นข้ามสะพานและหาของกินไปตามเรื่องค่ะ สรุปเจ็ดที่ กลับมาถึงโรงแรมประมาณห้าโมง (เริ่มเก้าโมงครึ่ง) ราคาสี่พันNT ค่ะ เราคุยกับคุณตี๋ว่าตลาดที่ไหนน่าเดินที่สุดและคุณตี๋แนะนำ Roahe (อ่านว่า เราเหอ) เราจึงไปพิสูจน์ค่ะ ... Raohe นี่จะเน้นอาหารเป็นส่วนใหญ่ คล้ายๆ Ningxia แต่ว่าใหญ่กว่า มาสะดวกมาก (ติดรถไฟฟ้า) ร้านเยอะมากๆ ต้นตลาดจะเห็นร้านซาลาเปาอบเหมือนที่เราทานเมื่อวาน คิวยาวเหยียดเช่นกัน เลยไม่ได้ต่อแถว เราเลือกชิมไปสามสี่ร้าน โดยร้านแรกนี่ประเดิมกันที่ เต้าหู้เหม็น อยู่ท้ายตลาดเลยค่ะ เป็นเต้าหู้ทอด ซึ่งกรอบนอกนุ่มใน มีกลิ่นเหม็นอันเป็นเอกลักษณ์พอประมาณ กินคู่กับผักดองและซอสหวานๆเค็มๆ นับว่าไม่แย่อย่างที่กลัวค่ะ แต่ก็ไม่ได้อร่อยอะไรเป็นพิเศษ - ถัดมาเป็นร้านเสี่ยวหลงเปา กลางตลาดเลย ราคาเข่งละร้อย อร่อยดีค่ะ น้ำซุปกลมกล่อม - ปิดท้ายกันให้อิ่ม ที่ร้านข้าวหน้าหมูสับและน้ำซุปซี่โครงหมู (เข้าใจว่ามันคือบักกุ๊ดเต๋ของที่นี่นะ) เราชอบมากๆค่ะ น้ำซุปหอมยาจีนมาก และซี่โครงเปื่อยนุ่มกำลังดี เลยอิ่มแปล้ หลับฝันดีเลยค่ะ Day5: วันสุดท้าย ปิดทริปด้วยการช้อปปิ้งเบาๆที่ Sogo (เพราะว่าแม่อยากไป) ที่ไทเปนี่มีโซโก้ตั้งสามสาขา แต่ว่าทุกสาขาก็อยู่ใกล้ๆกันค่ะ แต่ละสาขาจะต่างกันที่ร้านค้าซึ่งเป็นการแยกแบรนด์แพงน้อย แพงมาก แพงมากที่สุด ฮ่าๆๆ
แต่...เราไม่กินข้าวในโซโก้ค่ะ ด้านหลังโซโก้นี่ของกินเพียบเลย บังเอิญเราเห็นร้านเส้นหมี่ร้านนึงก็เลยต้องลองสักหน่อย เส้นหมี่แบบนี้ ร้านดังอยู่ที่ ximending แต่ว่าร้านนี้ก็คนเยอะค่ะ เส้นอร่อยมาก ส่วนน้ำจะคล้ายๆกระเพาะปลา แต่ว่าใส่พริกไทยเยอะมาก และเนื้อสัตว์ของร้านนี้จะใส่เครื่องในหมูค่ะ จากนั้นก็ตบท้ายด้วยขนมครกญี่ปุ่น (แบบไต้หวัน) และกาแฟสักหน่อย ... ที่ไต้หวันนี่ร้านกาแฟเพียบเลย รสชาติดี และราคาถูกด้วยค่ะ ร้านที่มีสาขาเยอะๆก็เช่น Cama Cafe', Eric Cafe', Louisa Cafe' และปิดท้ายทริปด้วยซาลาเปาอบโอ่งอีกซักเจ้าใกล้ๆโรงแรมค่ะ สรุป: ทริปนี้นอนดี, บิน full fare, taxi ตลอดทริป, 4 วัน 4 คืน หมดไปประมาณ คนละ 25,000 บาทค่ะ คราวหน้าจะไปตะลุยไต้หวันจังหวัดอื่นๆบ้าง แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าจะไม่ไปช่วงฤดูมรสุมอีกแล้ว มันร้อนมากจริงๆค่ะ >.<
1 Comment
เกศ
10/8/2019 03:02:18 am
รบกวนสอบถามขอความเห็นหน่อยนะคะ พอดีเห็นว่าเช่าเหมารถไปเที่ยวคะ อยากรู้ว่าเราสมควรทิปคนขับเท่าไหร่ดีคะ พอดีไม่เคยเหมารถแบบนี้มาก่อนคะ รบกวนด้วยนะคะ ขออภัยด้วยคะ
Reply
Leave a Reply. |
เลือกดูตามประเทศNew Zealand
Australia - Tasmania Archives
May 2021
Authorจาก Rainy in the blue sky ในพันทิป |