ว่าด้วย Aurora ตอนนี้หลายๆคนคงคุ้นเคยกับ แสงเหนือ หรือ Aurora ที่แถบขั้วโลกเหนืออย่าง Iceland แต่รู้มั้ยคะว่า Aurora ทางด้านชั้วโลกใต้ก็มีเช่นกัน โดยถ้า Kp สูงตั้งแต่ 4 ขึ้นไป ก็จะสามารถมองเห็นได้จากแทสมาเนีย และนิวซีแลนด์เกาะใต้ แต่เนื่องจากสภาพอากาศแถบนี้คาดเดาไม่ค่อยได้ จึงมักมีเมฆบังเจ้าแสงออโรร่านี่ซะหมด ก่อนเรามาก็ทำการบ้านไว้ประมาณนึง โดยเข้าไปดูในกรุ๊ป Aurora Austrail Tasmania ใน facebook พบว่าการเกิดออโรร่าแบบที่ฟ้าใส มีคนถ่ายภาพสวยๆมาได้ ก็มีมาเรื่อยๆ ประมาณ 1-2 เดือนครั้ง ก็พอมีความหวัง ระหว่างที่เราอยู่ที่แทสมาเนีย มีหลายวันมากๆที่ Kp ขึ้นไปถึง 4-5 แต่ว่ามีเมฆทุกวัน สุดท้ายก็เลยแห้วไปตามระเบียบ ถ้าใครสนใจก็เข้าไปดูในกรุ๊ปได้ค่ะ เช้ามา...เราเดินฝ่าความหนาวออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ขอบอกว่าที่นี่เงียบสงบมากๆ เราเดินออกไปแทบจะเป็นคนเดียวบนถนนเลยก็ว่าได้ นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น สูดหายใจให้เต็มปอด เพราะอากาศที่นี่ไม่มีมลพิษเลย (หรือมีก็คงน้อยมาก ยิ่งถ้าเทียบกับกทม.) หลังจากทานอาหารเช้าชุดใหญ่ (ที่สุดในทริป) ก็ได้เวลาไปเที่ยวกันต่อ โดยจุดหมายของเราวันนี้คือ Freycinet national park แล้วต่อด้วย Bay of Fire ที่ Freycinet นี้เป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมค่ะ (ถ้าทั้งทริป ต้องเข้ามากกว่า 2 แห่ง แนะนำให้ซื้อแบบ 30 day แต่ถ้าแค่ 2 แห่ง ก็ซื้อแบบ 24 hours ของแต่ละแห่งดีกว่าค่ะ) ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่เป็นภูเขาสูงริมทะเล จุดชมวิวอันโด่งดังของที่นี่ก็คือ Wineglass bay lookout ซึ่งต้องเดินขึ้นไปประมาณ 45 – 90 นาที แล้วแต่ความแข็งแรงของคนเดิน ซึ่งเราก็ 90 นาที ตามระเบียบ ...เหนื่อยพอสมควรค่ะ วิวสวยดี แต่ไม่มาก จริงๆถ้ามีเวลา เดินลงไปที่ Wineglass bay ก็คงฟินกว่า ถ้าใครขี้เกียจเดิน มี day tour เป็นเรือลงไปปล่อยที่หาดเลยค่ะ และแล้ว..ทริปก็สะดุด เพราะคุณนายของเราข้อเท้าพลิกตอนเดินลงจากเขา ต้องกระย่องกระแย่งลงมา เราเลยต้องรับหน้าที่ขับรถแทน ขากลับออกมา แนะนำร้านอาหาร freycinet marine farm มีอาหารทะเลสดๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ oyster แต่ตามความรู้สึกเราคิดว่าที่ Bruny อร่อยกว่า นอกจาก oyster ก็มีหอยเชลล์ด้วย ตัวโตนุ่มมาก จริงๆที่เด็ดคือ Abalone ถ้าเทียบกับที่ไทยแล้ว ที่นี่ถือว่าถูกนะคะ แต่เราก็ไม่ได้ลอง ยังคงเสียดายอยู่ ถ้ากลับไปจะไม่พลาดเลย บริเวณร้านอาหารนี้ เค้าเรียกว่า Coles Bay เป็นจุดที่เงียบสงบมาก มีรีสอร์ทห้าดาวด้วยนะ และเป็นจุดเหมาะที่จะชมออโรร่า เพราะว่าตอนกลางคืนมันมืดมากจริงๆ จาก Freycinet ไป Bay of Fire นี้ เราแวะ Freycinet Vineyard ซึ่งที่นี่มี wine cellar door ให้ชิมไวน์ตัวดังๆ ... เราซื้อ Riesling มา แต่จริงๆขอแนะนำ Pinot Noir ซึ่งเรามารู้จักเอาวันท้ายๆของทริป ถ้ารู้ก่อนรับรองไม่พลาดแน่ จากนั้นก็แวะ Bicheno เพื่อหาร้านอาหารกลางวัน แต่ๆๆๆๆ ... เราไม่ใช่คนขับเก่ง และแฟนเราก็ไม่ใช่ navigator ที่เก่ง พอมาสลับหน้าที่กันเลยเป็นเรื่องจนได้ เพราะแฟนเราหาร้านในแผนที่ไม่เจอ ส่วนเราละเลยป้ายจำกัดความเร็ว แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ!?! ว่าด้วยการขับรถในแทสมาเนีย ป้ายจำกัดความเร็วของที่นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และมันก็มักจะโผล่มาแบบติดๆกัน คือ ปกติขับ 100 พอเข้าใกล้เขตเมือง ป้ายจะแจ้งให้ลดความเร็วเป็น 80 60 40 ในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อเห็นป้ายแรกก็ขอให้เหยียบเบรคชะลอความเร็วเลย ไม่งั้นพอเจอป้ายถัดไปชะลอไม่ทันแน่นอน เนื่องจากเรามัววุ่นวายกับการหาร้าน เราก็เลยไม่ได้เบรค และด้วยความที่ Bicheno เป็นเมืองใหญ่พอควร เราจึงได้จ๊ะเอ๋กับคุณตำรวจที่ซุ่มอยู่ หน้าซีดเลยค่ะ หดเหลือสองนิ้ว และได้แต่ขอโทษ (บอกเลยว่าตอนนั้นถ้าโดนปรับก็ต้องยอมเสีย เพราะผิดจริง ค่าปรับ 200 เหรียญ ก็ห้าพันบาท ... แต่ไม่ได้กลัวเท่าโดนแฟนด่า ที่หน้าจ๋อยคือกลัวโดนสองเด้งนี่ล่ะค่ะ >.<" ) คุณตำรวจก็ชวนคุย ว่ามาเที่ยวเหรอ เธอขับเร็วนะ ระวังๆหน่อยนะ เห็นว่ามาไกล เลยจะแค่ warning ละกัน แต่ถ้ามีอีกรอบ จะโดนปรับของรอบนี้ด้วยนะ ... เป็นอันว่าโล่งค่ะ ไม่โดนปรับ ... แต่เรื่องโดนด่า ไม่รอด ...หน้าเลยยังซีด (แฟนเราไม่รู้ความจริงข้อนี้นะ เลยหาว่าเราหน้าซีด และสติแตกไปแล้วกับการโดนตำรวจจับ เพราะหลังจากนั้นเราก็ยังไม่หายซีด) เนื่องจากใบขับขี่ของไทยไม่ได้ระบุที่อยู่ เราก็เลยต้องจดที่อยู่ให้คุณตำรวจส่งใบเตือนมาที่บ้าน ปรากฏว่า ชื่อข้างบนที่จดไว้ ก็เป็นคนไทยจ้า ก็บ้านเรามันขับเร็วกว่าป้ายได้ 10-20 โลนี่เนอะ หลังจากใจสั่นพอประมาณก็ได้เวลาไปต่อ … เราขับแวะเข้าไปใน Bicheno เพื่อซื้อ fish & chips ตามเคย แถบนี้เป็นที่ตากอากาศที่ดังอยู่เหมือนกัน มีโรงแรมให้เลือกค่อนข้างเยอะ แต่ว่าคนเยอะๆเราไม่ชอบ ฮ่าๆๆ มุ่งหน้ากันต่อไป เมืองถัดไป คือ Scamander ซึ่งก็ดูมีที่พักและร้านอาหารพอสมควร เผื่อใครมองไว้เป็นทางเลือกที่จะพักที่นี่ค่ะ และแล้วก็ถึง St. Helens อันเป็นเมืองที่ใกล้ Bay Of Fires มากที่สุด เราพักกันที่ Sweet water villa ซึ่งเป็นห้องพักแบบ Self-contained เป็นครั้งแรกของทริปนี้ค่ะ และเป็นจุดเริ่มต้นในการทำอาหารของเราเลยก็ว่าได้ เรามาถึงบ่ายแก่แล้ว แต่เนื่องจากเวลาจะไม่พอ ก็เลยต้องไป Bay of Fires วันนี้เลย (จริงๆควรมาถึงประมาณไม่เกินเที่ยงนะคะ เพราะว่าหาดที่นี่เป็นช่วงๆยาวต่อเนื่องกันต้องใช้เวลานานพอดู) จาก st. Helens ขับรถไปประมาณ 20 นาทีค่ะ ทางบางช่วงอาจจะชันหน่อย Bay of Fires นี้ เป็น conservation area ก็เลยไม่มีที่พักหรือร้านอาหารเลย แต่ว่ามีพื้นที่ให้ camping ได้ เราเห็นมีโรงแรมเดียว ซึ่งไฮโซมาก ไม่มีตังนอน >.< Bay of Fires นี้ มีหลายๆ bay ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือ (ดูแผนที่ได้ที่นี่ค่ะ http://www.visitsthelenstasmania.com.au/maps/ หรือ http://www.parks.tas.gov.au/file.aspx?id=6390 ) โดยหาดดังๆ ก็เช่น Binalong bay อยู่ด้านล่างสุด ถ้าขับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง the Gardens ซึ่งเป็น lagoon ก็จะเจออีกหลายหาดที่น่าลงไปเดินเล่น โดยหาดที่พนักงานที่ที่พักแนะนำคือ Cosy corner ตอนแรกเรานึกว่า มันก็แค่หาดที่มีหินสีแดงๆ ยังถามคนที่ไปด้วยว่า จะแวะดีมั้ย เพราะที่อ่านรีวิวมาไม่เห็นใครเค้าไปกันเลย แต่ว่าจากเรทติ้งใน tripadvisor มันดีมากจนต้องใส่ที่นี่เค้าไว้ในแพลน พอไปเห็นด้วยตาตัวเอง …. หินสีแดงนั่นมันไม่ได้ว้าวอะไรมากมาย แต่ที่สวยมากๆคือ หาดทรายที่ขาวมาก ละเอียดมาก เจ้าหินสีแดงกลายเป็นเหมือนเครื่องประดับที่ช่วยให้ที่นี่ดูโดดเด่นขึ้นมา เราแวะได้สองสามหาด ยืนมองคลื่น มองท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสี แต่เนื่องจากหาดนี้อยู่ฝั่งตะวันออก เลยไม่ได้มีพระอาทิตย์ตกงามๆ แต่แค่นี้ก็ฟินมากแล้ว มันสงบมาก ธรรมชาติมาก จนเราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้า เราจะมากันอีกรอบ พอตกเริ่มค่ำ ร้านใน St. Helens ก็เริ่มปิดแล้วค่ะ เราก็เลยต้องซื้อของสดใน super market มาทำอาหารเอง แบบง่ายๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกเกี่ยวกับอาหารการกิน ว่าที่นี่เนื้อถูกมาก ไวน์ก็ถูกเช่นกัน เลยเอามาประกอบกันได้มาเป็นมื้อหรูแบบง่ายๆ สเต็ก กับไวน์ จริงๆแล้วโปรแกรมของวันถัดมา เราตั้งใจจะออกจาก St.Helens แต่เช้า แล้วขับรถตัดเข้าตรงกลาง Tasmania คือ Launceston และ Tamar Valley แต่เนื่องจากติดใจ Bay of Fires ก็เลยแวะมาตอนเช้าอีกรอบ แต่น่าเสียดายว่าวันนี้อากาศขมุกขมัวมากค่ะ แต่ก็ยังสวยอยู่นะ … เลยอยากบอกเพื่อนๆที่จะมาที่นี่ว่า ควรเผื่อเวลาให้ Bay of Fires สัก 1 วัน 1 คืน จะได้มีเวลา enjoy หาดสวยๆนะคะ
อย่างที่บอก จากด้านตะวันออกสุด เราขับเข้ามาทางส่วนกลางตอนเหนือของเกาะค่ะ ถ้าใครมาในช่วงเดือน พ.ย. - ม.ค. อย่าพลาดแวะ Bride Stowe Lavender estate นะคะ ที่นี่เป็นไร่ลาเวนเดอร์ที่ใหญ่มาก และ(ดูจากรูป)สวยมาก ใครสนใจเข้าไปดูข้อมูลได้ค่ะ http://bridestowelavender.com.au/ ผลิตภัณฑ์ลาเวนเดอร์ของที่นี่มีวางขายทั่วออสเตรเลียเลยค่ะ เรายังได้ซื้อ hand cream จากสนามบินบริสเบนก่อนกลับไทย
0 Comments
Leave a Reply. |
เลือกดูตามประเทศNew Zealand
Australia - Tasmania Archives
May 2021
Authorจาก Rainy in the blue sky ในพันทิป |