ทริปนี้เราไปมาเมื่อเดือนกันยายน 2019 ค่ะ เป็นช่วงเวลาที่เที่ยวเยอะมาก คือ 4 ทริปใน 6 สัปดาห์ เหมือนจะรู้เลยว่าหลังจากนั้นจะไม่ได้ไปไหนอีกนาน –.-“ 4 ทริปที่ว่านี้คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และ จ. น่าน ซึ่งจริงๆไม่ได้จองเรียงตามลำดับ อย่างญี่ปุ่นนี่จองสุดท้ายเลย แต่ไปก่อน ด้วยความที่ตอนนั้นคุณนายปิดโปรเจคได้พอดี เลยมีเวลาเที่ยว หลังจากไม่ได้เดินทางมาหลายเดือน และเป็นทริปที่ประทับใจมากเลยเพราะว่าอากาศดี กินดี อยู่ดี แม้จะจ่ายแพงหน่อย อารมณ์แบบใช้เงินซื้อความสบาย ตามประสาคนเริ่มมีอายุค่ะ >.<
การเดินทาง ทริปนี้แอดเช่ารถขับค่ะ เพราะขี้เกียจแบกของ และมีหลายจุดที่อยากไปที่คิดว่าถ้านั่งรถไฟอาจจะไม่สะดวก แม้ว่าอีกใจจะอยากนั่งรถไฟมุ้งมิ้งใจจะขาด การขับรถในญี่ปุ่นค่อนข้างง่าย ใช้ทั้ง gps + google map ช่วยกัน รับรองไม่หลง โดยสิ่งที่อยากเล่าเกี่ยวกับการเช่ารถก็จะมีดังต่อไปนี้ค่ะ
Landmark ปกติเห็นรีวิวทริปต่างจังหวัดญี่ปุ่นนี่คนต้องไปวัดกับศาลเจ้ากัน แต่ทริปนี้เราไม่ได้เข้าวัดกับศาลเจ้าเลย เน้นแต่ธรรมชาติอย่างเดียว ที่ที่ไปตามนี้เลยค่ะ
แม้ว่าทริปนี้เราจะเน้นออนเซนและกิน Kaiseiki ของเรียวกังเป็นหลัก แต่ทริปของเราก็ยังขับเคลื่อนด้วยของกินค่ะ :D วันแรก – ขับเคลื่อนด้วย ร้าน omakase ที่เราจองล่วงหน้าไว้ค่ะ เป็นร้านที่ Kitakyushu (ตอนเหนือสุดๆ ของคิวชู) ดังนั้นพอเครื่องลงปุ๊บ ไปรับรถปั๊บ เราก็ขับขึ้นเหนือกัน โดยขอแวะร้านกาแฟกันก่อนเลย โดยเราก็เลือกคาเฟ่จาก google map ที่เป็นร้านที่ไม่ออกนอกเส้นทางมากนักค่ะ หวยมาออกที่ร้าน Basking Coffee ซึ่งโอเคเลยแหละ เป็นร้านใต้คอนโดนอกเมือง เงียบๆ กาแฟรสชาติดี (การจอดรถในที่จอดอัตโนมัติครั้งแรกนี่ตื่นเต้นมาก ฮ่าๆ) พอหายเมาขี้ตา ก็ขับรถกันต่อไปอีกประมาณ 2 ชม. ถึงร้านพอดีเที่ยง โดยร้านนี้ชื่อว่า Edo mae sushi nikaku ซึ่งเคยได้ 2 ดาวมิชลินเมื่อปี 2014 เชฟตลก น่ารักมากๆ แต่ว่าแต่ละคำคือแอบนาน กว่าจะกินเสร็จก็เล่นเอาง่วงแล้วง่วงอีก เราผู้ไม่เชี่ยวชาญด้าน omakase ก็พอจะสรุปมื้อนี้ได้ว่า การปรุงข้าวในสไตล์ Edomae คือจะเป็นข้าวรสจัดค่ะ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้จะเป็น local 100% เลย เพราะนี่นี่ใกล้ทะเลนิดเดียว ทุกคำคือสด และได้กลิ่นทะเล แต่รวมๆก็แพงอะ >.< จาก Kitakyushu เรามุ่งหน้า Beppu กัน โดยผ่านเมือง Nakatsu เราว่าเส้นทางที่นี่คือขับเพลินมากค่ะ ในเมืองบ้านสวยมาก เป็นบ้านเก่าคลาสสิค สลับกับธรรมชาติเป็นระยะๆ ชิลมาก ๆ แต่แม้ว่าเราจะอิ่มซูชิกันแล้ว ก็ยังอดแวะร้านไก่ทอดที่ Nakatsu ไม่ได้ เพราะเมืองนี้คือขึ้นชื่อว่ามีร้านไก่ทอดสูตรเด็ดหลายร้านมากๆ ร้านที่ดังที่สุดเหมือนจะปิดในช่วงที่เราผ่านค่ะ แต่ก็ไม่ย่อท้อนะ หาร้านมาทดแทนได้ เลยแวะกินแก้ง่วง >.< ได้ไก่ทอดกรอบ ๆ ร้อน ๆ แบบควันออกปาก มือใหม่หัดแช่ (ออนเซน) กินอิ่มแล้วเราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายที่ Beppu ซึ่งที่นี่เราพักที่ Kurodaya ซึ่งเป็นเรียวกังเก่าแก่กันค่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยไปออนเซนที่เดียว คือที่ม่อนแจ่ม เชียงใหม่นี่เองค่ะ ทริปนี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไปแช่ออนเซนที่ญี่ปุ่น ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว อย่างตอนที่หาที่พักคือหงุดหงิดมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นฟูกปูพื้น และ ไม่มีห้องน้ำ แต่เราอยากได้ห้องที่เป็นเตียง เพราะกลัวที่นอนแข็งและกลัวลุกจากพื้นลำบาก (คุณนายอ้วน) และห้องที่มีห้องน้ำในตัว (เราไม่ชอบใช้ห้องน้ำรวม) เลยมีตัวเลือกเหลือไม่มาก =.=" แถมตัวเลือกในเว็บที่ใช้ประจำอย่าง agoda booking expedia ก็มีเรียวกังไม่เยอะ แต่สุดท้ายมีเพื่อนบอกให้ไปหาใน https://www.japanican.com/ มีเยอะเลยแถมมีโค้ดส่วนลดด้วย ก็เลยไปจองในนั้นทั้งหมดของทริปนี้เลยค่ะ โดยหลักๆแล้ว เกณฑ์ในการเลือกของเรา นอกจากเรื่องห้องแล้ว ก็จะเน้นไปที่รีวิวว่าอาหารอร่อย :D คืนแรก Kurodaya ที่ Beppu (https://www.japanican.com/hotel/japan/beppu/kurodaya) โดยที่นี่ location ดี อยู่ติดกับบ่อนรกเบอร์ 4-5 เลยค่ะ แต่สภาพโดยรวมเก่าพอสมควร มีกลิ่นอับด้วย และห้องน้ำในห้องคือแคบมากกก และมีเสียงห้องข้างๆลอดมาชัดเลย เนื่องจากเป็นครั้งแรกในการลงออนเซนรวมของเราสองคน ก็เลยจะเงอะงะหน่อย แต่ก็ศึกษาลำดับขั้นการลงมาเป็นอย่างดีแล้วค่ะว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ก็นั่งอาบกันแบบเขินๆ ดีว่าที่นี่บ่อใหญ่ และ คนในบ่อไม่เยอะมาก แช่ร้อนๆ เย็นๆกันจนสบายตัว แล้วก็ได้เวลา Keiseki หรือเซทอาหารเย็นที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล ซึ่งอาหารเย็นวันนี้ของเราเป็นเซทชาบูหมู และอื่นๆอีก 5-6 จาน เยอะและอร่อยค่ะ ส่วนอาหารเช้าเป็นเบนโตะ และมีไลน์บุฟเฟต์อีกด้วย คือจัดเต็มมาก ถือว่าเป็นอาหารเช้าที่ประทับใจมากค่ะ ข้อเสียอีกอย่างของที่นี่คือ พนักงานพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย อย่างตอนเรามาถึงคือต้องให้พนักงาน valet ให้ ยังสื่อสารกันแบบมึนๆมาก ส่วนสนนราคาอยู่ที่ประมาณคนละ 15,000 เยน (ไม่ได้ถ่ายรูปในห้องมาเลยค่ะ ดูได้ในเว็บที่แปะลิงค์ให้นะคะ) วันที่สอง เราเดินชมบ่อนรกทั้ง 8 บ่อของ Beppu ซึ่งก็เดินเพลินๆค่ะ ออกกำลัง เพราะมีทั้งเนินเขาและแดดร้อนด้วย แต่ก็เดินไป พักกินขนมไป จากนั้นก็ขับอ้อมไป Oita เพราะตั้งใจจะไปกินปักเป้าที่ร้าน Fugu แต่ปรากฏว่าช่วงที่เราไปเป็นหน้า low season ร้านปิด T_T และหลายๆร้านก็ปิดวันพุธ+พฤหัส เลยจ๋อยมาก วนไปดูหลายร้าน สุดท้ายก็ยอมแพ้ กินร้านข้าวกล่องโง่ๆ ริมทาง ก็ใช้ได้อยู่แหละ แต่คือที่ร้านไม่มีที่นั่งด้วย ต้องกินในรถ โดยการพยายามหาที่จอดแถวๆสวนสาธารณะ ซึ่งก็หายากมากเลยค่ะ Yufuin จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าที่พักที่ Yufuin ซึ่งคืนนี้เรานอนกันที่ Ryokan Mebaeso ค่ะ ที่นี่ Locationจะออกมานอกเมืองหน่อย โดยรวมดูยังใหม่มาก ตอนไปถึงคือตกใจ เพราะพนักงานพูดว่า สวัสดีค่ะ! คือน้องเค้าเป็นคนไทย เพิ่งเรียนจบแล้วเลยมาหางานที่นี่ น้องเค้าบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยมานอน เค้าทำมา 3-4 เดือน เหมือนเราจะเป็นคนไทยคู่แรก การมีพนักงานที่พูดไทยได้คือทำให้ชีวิตดีมากค่ะ อธิบายเข้าใจง่าย จองโต๊ะอาหารเย็น อาหารเช้า เลือกเมนู อะไรก็ง่ายไปหมด ภายในห้องคือดีมากกก มีวิวทุ่งนาและภูเขา อุปกรณ์ครบมาก ห้องน้ำขนาดโอเคเลย amenity ดี แต่ออนเซนคือดียิ่งกว่า เพราะมีทั้งบ่อรวม และบ่อแยก โดยบ่อแยกนี้ใครก็ไปใช้ได้นะคะ แต่เข้าไปแล้วก็ปิดห้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว แล้วเป็น outdoor ด้วยนะ ชิลมาก ส่วนอาหารเย็นปริมาณพอๆกับเมื่อวานแต่เปลี่ยนจากชาบูเป็นเนื้อ Bungo ย่าง ละลายมากๆ แบบไม่มันด้วย แต่อาหารเช้าสู้ kurodaya ไม่ได้ ที่นี่เรานอนพื้นค่ะ ปรากฏว่าสบายมาก สบายกว่าเตียงอีก เลยติดใจเลย คราวหน้าคงไม่นอนเตียงแล้ว >.< ราคาประมาณคนละ 17,000 เยน เวลาที่พักแพงๆนี่เราก็หมกตัวอยู่ในนี้แหละค่ะ มาตอนหน้าโลว์นี่ดีงามมากๆ แทบไม่เจอคนเลย อย่างตอนไปแช่ออนเซนรวมตอนกลางคืนนี่เป็นส่วนตัวไปเลย วันที่สาม เราตื่นแต่เช้าเพื่อไป Kirin Lake ในยามหมอกลงค่ะ สวย สงบมากๆ ตอนแรกอยากนอนที่พักที่อยู่ตรงนั้นเหมือนกัน แต่ว่าห้องที่เหลือเป็นห้อง type ที่ไม่อยากนอน แต่นอน Mebaeso นี่ก็ประทับใจมากๆแล้วค่ะ เรากลับมาทานอาหารเช้า เช็คเอาท์แล้วออกไปเดินแถวเลคใหม่ตอนที่ร้านเค้าเปิดแล้ว ตรง Floral Village นั้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเลยค่ะ ส่วนตรงถนนคนเดินก็ร้านขนมเยอะดี เราแวะไปสองร้านคือ เค้กโรล B Speak อันนี้มันดีย์จริงๆ เราชอบรสช็อกโกแลตมากกว่า original นะ กับอีกร้านคือ Milch แม้ว่าจะมีที่ไทยแต่ทำไมกินที่โน่นอร่อยกว่าก็ไม่รู้ค่ะ ส่วนร้านภาคบังคับที่เห็นทุกรีวิวมากินที่ Yufuin ก็คือข้าวหน้าเนื้ออบ Yufumabushi shin ซึ่งถ้ามากินตอนเที่ยงจะคิวยาวมาก เราเลยชิงเข้าไปกินตั้งแต่ 11 โมงกว่าๆ ก็คนเกือบเต็มร้าน พอตอนเราออกมานี่คิวยาวเลย แต่เราว่าเนื้อมันมาก ที่ชอบที่สุดในร้านคือ พริกยุสุ (yuzushoko) ที่ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมาก โดยรวมเราว่าไม่ได้ดีขนาดต้องไปนะคะ (สาขานี้ คือสาขาใกล้คิรินเลค ใน google map ร้านนี้ ให้เสิร์ชคำว่า Yufu mabushi มีเว้นวรรคตรงกลางนะคะ)
แล้วเราก็มาถึง Kurokawa เมืองแห่งออนเซน ที่นี่มีเรียวกังให้เลือกเยอะเลยค่ะ แต่ว่าหลายๆที่รถเข้าไม่ได้นะคะ ต้องจอดไว้ข้างนอก ที่นี่เราเลือกที่ Yumerindo - hanadomori ซึ่งเป็นเรียวกังขนาดเล็กแค่ 5 ห้อง แต่ห้องใหญ่มาก มีครัวด้วย และมีออนเซนส่วนตัว ราคาประมาณคนละ 19,000 เยน ส่วนออนเซนใหญ่ต้องไปที่ yumerindo สาขาแรกซึ่งห่างกันแค่ 300 เมตร และต้องไปกินอาหารเย็นที่นั่นด้วย ซึ่งเค้ามีรถรับส่งระหว่างสาขาให้ตลอดค่ะ เราก็เลยไปแช่ออนเซนตอนก่อนเย็นเล็กน้อย แล้วก็ทานอาหารต่อเลย ที่นี่ก็วิวดีค่ะ ติดน้ำตก ได้ยินเสียงน้ำไหลตลอด แต่ยุงเยอะมากกกกก และยุงตัวใหญ่มาก ก่อนไปแช่ออนเซนก็ไปเดินเล่นในหมู่บ้านกันค่ะ ที่ Kurokawa นี่น่ารักมากๆ ร้านน่ารักเต็มไปหมด และมีปล่องสูดกำมะถันให้เป็นระยะๆ ที่นี่เรามาค่อนข้างเย็น ร้านค้าก็เลยเริ่มๆปิด แต่ก็ยังอุตส่าห์ได้ชูว์ครีม Patisserie Roku อร่อยดีค่ะ ออนเซนใหญ่ที่ Yumerindo สาขาแรก มีทั้ง outdoor และ indoor โดย outdoor นี่เห็นวิวธารน้ำด้วย ชิลดีค่ะ แต่คนเยอะ สำหรับมื้อเย็นที่นี่จัดมาเซทใหญ่มาก อิ่มจุกๆเลย เพราะก่อนนี้กินขนมไปเยอะด้วยแหละ แฮร่ ตอนก่อนนอนก็มาแช่ออนเซนในห้องอีกสักหน่อย แต่แช่แล้วสู้บ่อใหญ่ไม่ได้เพราะอุณหภูมิมันไม่ค่อยได้ที่เลยค่ะ สำหรับอาหารเช้า เค้านัดเวลามาเสิร์ฟที่ห้องเลยค่ะ เยอะเช่นกัน วันที่สี่ เป็นวันที่ขับรถเยอะที่สุดค่ะ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแผน จากเดิมที่จะไปนอน Kumamoto แต่วันก่อนไปได้สองวันเพิ่งไปเจอว่ามี teamlab exhibition อยู่ที่ Takeo เมืองเล็กๆใน Saga ก็เลยเปลี่ยนแพลนทันที และยอมขับรถไกลขึ้นอีกเป็นร้อยโลเลยค่ะ แต่ตามระเบียบที่เราจะต้องแวะกันก่อน ที่แรกก็คือ Takachiho ซึ่งเราตั้งใจไป gorge ค่ะ อากาศปลอดโปร่งมากๆ ฟ้าสวยเมฆสวย จนไม่คิดว่าจะต้องอกหัก ที่ Takachico gorge นี้มีลักษณะเป็นแม่น้ำเล็กๆไหลผ่านหุบเขา จุดขายของที่นี่คือมีเรือพายลำเล็กให้เช่าพายไปกลับ เราก็รีบไปตั้งแต่เช้า ไปถึงสัก 10 โมงได้ แต่ปรากฏว่า วันนี้เรืองดให้บริการค่า เพราะว่าระดับน้ำสูง T_T #tips *** ยังไงถ้าท่านไหนจะไป เช็คข้อมูลได้จากเว็บนี้เลยค่ะ http://takachiho-kanko.info/en/ ปล. ปักหมุดใน google map จะไปที่ลานจอดรถซึ่งมีท่าเรือเลยค่ะ ค่าจอดรถ 500เยน (โหดเนอะ) ที่นี่จะสวยมากๆช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนะคะ เมื่อไม่ให้พายเรือ เราก็เลยได้แต่เดินไปเดินกลับ แล้วก็มาย้อมใจด้วยโซเมนรางไม้ไผ่ ซึ่งถามว่าอร่อยมั้ย ก็คงตอบว่าเฉยๆ แต่สนุกซะมากกว่า จากนั้นเราสองคนก็พาท้องอิ่มๆ กับอกหักๆ ไปขึ้นรถไฟกันค่ะ ซึ่งที่นี่คือ Takachiho Amaterasu Railway เป็นรถไฟแบบไม่มีหลังคา พาชมวิวแล้วก็กลับมาทางเดิม รถไฟออกทุกครึ่งชม.ค่ะ มีตั้งแต่ 9 โมงกว่าๆถึงสี่โมงค่ะ (ตาราง https://amaterasu-railway.jp/attraction) ตอนเรามาถึงคือรถไฟเพิ่งออกไป เลยต้องรอครึ่งชม. ราคาคนละ 2,500 เยน แต่เราว่าคุ้มนะคะ รถไฟมุ้งมิ้งมาก พอเข้าอุโมงค์ก็มีไฟกระพริบอย่างน่ารักเลย และจุดที่จอดให้ชมวิวบนสะพานก็มีการเป่าบับเบิ้ลอีกต่างหาก Tips: ถ้านั่งหัวขบวนไม่ทันก็นั่งท้ายเลยค่ะ เพราะงั้นเวลาถ่ายรูปก็จะติดคนข้างหน้า แต่ถ้าอับโชคจริงๆ ตรงกลางขบวนมีพื้นกระจกเก๋ๆอยู่ ไม่ต้องเสียใจ จริงๆแถวนี้มีที่น่าแวะอีกที่คือ Mount Aso แต่เนื่องจากเราต้องขับรถกันอีกไกล และไปเสียเวลารอรถไฟมา ก็เลยต้องรีบทำเวลาแล้วค่ะ ขอแปะ Mt. Aso ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน Takeo กว่าจะถึง Takeo ก็เล่นเอาเหนื่อยค่ะ มาถึงตอนประมาณห้าโมงพอดี ยังไม่มืด ก็เข้างานกันเลย Teamlab's exhibition: Forest Where Gods Live at Mifuneyama นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ไป exhibition ของ teamlab เลยค่ะ แต่เห็นเพื่อนๆไปกันทั้งที่โตเกียว จาร์การ์ตา สิงคโปร์ แต่ไม่ค่อยเห็นใครไป Takeo ความพิเศษของงานนี้คือเป็นการจัดแสง outdoor ในสวนสาธารณะ Mifuneyama ค่ะ รวมทั้งหมด 21 จุด โดยมีแค่4จุดที่จัดแสดงในอาคาร ซึ่งแสงสีที่เค้าใช้นั้นน่าสนใจมากๆ แม้ว่าบางจุดจะดูหลอนไปหน่อย แต่ความพีคคือสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นภูเขาย่อมๆเลยค่ะ และเส้นทางที่ให้เราเดิน มีทั้งขึ้นๆลงๆ เล่นเอาหอบ และเหงื่อแตกเลย เราเดินไปทั้งหมด หมื่นก้าว และขึ้นๆลงๆเทียบเท่า 28 ชั้น ตอนก่อนมาคุณนายก็ไม่รู้จัก teamlab หรอกค่ะ แต่นางตามใจเราว่าถ้าอยากมา ก็ขับรถให้ แต่พอมาถึง นางสนุกมาก ไล่เดินและมาร์คทุกจุดเหมือนเก็บ RC ไม่ยอมแพ้จนครบ 21 จุดเลย
วันที่ห้า เนื่องจากเมื่อวานเหนื่อยมาก วันนี้เลยตื่นสายหน่อยแล้วข้ามแพลนศาลเจ้าไปเลยค่ะ วันนี้เราจะมุ่งหน้าขึ้นฟุกุโอกะกัน โดยจะไปขับเลียบ coast แทนการวิ่ง highway เมืองแรกที่เราแวะก็คือ Karatsu ซึ่งที่นี่มีไฮไลท์คือตลาดเช้า Yobuko แต่... แม้ใน google จะบอกว่าที่นี่เปิดถึงเที่ยง แต่เรามาถึง 11 โมง ตลาดก็วายซะแล้วค่ะ T_T เลยเดินเล่นบนถนนว่างๆนั่นแหละ เหลือร้านค้าอยู่ไม่กี่ร้าน เสร็จแล้วก็แวะกินอาหารมื้อใหญ่ที่ภัตตาคารริมทะเลมันซะเลย ชื่อร้าน Ika Honke (พิกัด https://goo.gl/maps/jaDthc1VKyiJbHuWA) ที่นี่เรา highly recommend เลยค่ะ Ika หรือ หมึกซาชิมิมาแบบเพิ่งตายเลย ยังมีความดุ๊กดิ๊ก แบบสดหวานมาก ส่วนอาหารอื่นก็อร่อย จะมีก็แต่เนื้อวาฬ ที่คุณนายอยากลองของ ปรากฏว่าทั้งเหนียวและคาว คล้ายๆมากุโร่แต่เหนียวและคาวกว่ามาก สรุปว่ากินไปได้ชิ้นเดียวก็ไม่สู้แล้วค่ะ เมื่ออิ่มเป็นที่เรียบร้อยก็ไปแวะพิพิธภัณฑ์การล่าวาฬกันสักหน่อย เป็นบ้านเก่าเล็กๆ แต่ก็เดินเพลินและน่าสนใจมิใช่น้อยค่ะ จากตลาด Yobuko เราก็ขับเลียบขึ้นไป แวะ London Bus Café และชมวิวศาลเจ้า แล้วก็แวะกินราเมนที่โรงงานราเมนข้อสอบ ขนาดว่าเราไม่ใช่แฟนราเมน แต่พอมากินที่นี่แล้วก็รู้สึกอร่อยค่ะ ระหว่างทางเลย Itoshima มาหน่อย เราไปเจอกับหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีร้านสาเกน่าสนใจมาก เลยแวะเข้าไปเลือกอยู่นาน จนทำให้ต้องตัดโปรแกรมศาลเจ้าที่ Dazaifu ออก แล้วก็มุ่งหน้าเข้าโรงแรมที่ Fukuoka ไปเลย ที่ Fukuoka นี้เราพักที่ Nishitetsu Hotel Croom Hakata ค่ะ โรงแรมอยู่สบายและโลเคชั่นดีทีเดียว แต่การขับรถในเมืองนี้ยากพอดู รถเยอะเลยค่ะ เราเลยจอดรถไว้ที่โรงแรม (เสียเงินด้วยนะ) แล้วใช้รถไฟใต้ดินแทน เพื่อไปห้าง Canal City ช้อปปิ้งของฝากและกินข้าวกัน ตอนแรกกะว่าจะไปกิน Yatai แต่ว่าดูแล้วไม่อิ่ม และส่งภาษายากไปหน่อย เลยจบที่ร้าน hot pot แห่งหนึ่งแทน วันที่หก วันสุดท้าย ก็เอารถไปคืนตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไม่ได้ยุ่งยากอะไรค่ะ แต่ลุ้นๆหน่อยว่ามีโดนค่าปรับอะไรรึเปล่า แต่ก็ไม่มีเพราะขับระวังมาก
คืนรถแล้ว บ.รถก็วนไปส่งเราที่สนามบิน ปิดท้ายมื้อเช้าที่สนามบินก่อนบินกลับไทยค่ะ สรุปแล้วเป็นทริปที่ชอบมากๆ ชิลทั้งอากาศ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เราว่าการขับรถเที่ยวที่ต่างจังหวัดของญี่ปุ่นนี่มันดีมากๆเลยค่ะ และที่สำคัญคือ ทริปนี้ติดใจออนเซน และปรากฏว่าสองคืนแรก ไม่ได้ใช้ห้องอาบน้ำส่วนตัวเลยค่ะ นอกจากนี้คือ ความเขินอายในการอาบน้ำรวมกับคนอื่นนั้นแรกๆก็มีบ้าง แต่พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจใครก็เลิกอายค่ะ สำหรับค่าใช้จ่ายทริปนี้คือหนักไปทางค่าเรียวกังและค่ากินค่ะ เที่ยวแค่ห้าวัน แต่ใช้เงินไปเกินแสน (สองคน) >.< ถือว่าทำงานหนักมาตลอดปีแล้วก็เอาเงินมาเที่ยวแบบนี้แหละค่ะ ชีวิตมนุษย์เงินเดือน :)
0 Comments
Leave a Reply. |
เลือกดูตามประเทศNew Zealand
Australia - Tasmania Archives
May 2021
Authorจาก Rainy in the blue sky ในพันทิป |