ทำไมฉันถึงหลงใหล Machu Picchu น่ะเหรอ ... ก็เพราะว่าความลึกลับ ความปราณีตในความยิ่งใหญ่ มั่นคงท้ากาลเวลา และเรื่องราวของชาวอินคาที่น่าสนใจมากๆ แต่ถ้าใครไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ให้ลองไปดูสารคดีเกี่ยวกับมาชูปิคชูสักตอน แล้วจะพบว่าเรื่องราวของ Machu Picchu นั้นน่าทึ่งขนาดไหน การจองตั๋วมาชูปิคชู การจองตั๋วนี้ทำได้ง่ายมาก คือผ่านหน้าเว็บ http://www.machupicchu.gob.pe/ หากจะขึ้นยอด Hauyna Picchu จะต้องจองแต่เนิ่นๆ เพราะเค้าจำกัดโควต้าคนขึ้นแค่วันละไม่กี่คน แต่การจ่ายเงินนั้นกลับยากมาก เพราะฉันใช้บัตรเครดิตทุกใบที่มี แต่ก็ไม่สามารถตัดชำระเงินได้เลย จนฉันเครียดมาก กระทั่งมีครั้งหนึ่ง ตั๋วของฉันเปลี่ยนสถานะเป็น จ่ายเงินแล้ว ทั้งๆที่เลขบัตรเครดิตที่ใช้ชำระไม่ใช่เลขของฉัน พอไป google ดู ก็พบว่าเลขนั้นเป็นเลขบัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทในญี่ปุ่น เลยคิดว่าระบบน่าจะมัปัญหาแน่ๆ แต่ฉันจะปล่อยให้ได้ตั๋วมาโดยไม่จ่ายเงินก็ใช่ที่ เพราะถ้าเกิดตั๋วถูกแคนเซิลจากความผิดพลาดนี้ก่อนวันเดินทางก็จะแย่ไปกันใหญ่ ฉันจึงอีเมลไปหาเจ้าหน้าที่ ผู้ซึ่งตอบกลับมาอย่างไม่แยแสว่า ไม่เป็นไรหรอก คงเป็น agent ของเธอจ่ายให้มั้ง ... คือฉันไม่มี agent มั้ยนะ พอตอบกลับไป เค้าก็ตอบกลับมาใหม่ว่าไม่เป็นไร ตั๋วใบนั้นถูกแคนเซิลไปแล้ว โดย process ของการโต้ตอบเรื่องนี้ ใช้เวลาทั้งสิ้นสามวัน สรุปว่าฉันก็ยังจองตั๋วไม่ได้จนแล้วจนรอด ก็เลยตัดใจให้โรงแรมที่คุสโกช่วยจ่ายเงินให้ ถึงแม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมถึง 10% ก็ต้องยอม เพราะว่าจวนตัวมาก แต่เพราะการสื่อสารที่ไม่เป็นใจ โรงแรมหายเงียบไป ฉันเลยลองจองใหม่ แต่คราวนี้ดันลืมเลือกเพศเป็น Female และมันก็กดยกเลิกไม่ได้ ต้องรอสามชั่วโมง ระบบถึงจะยกเลิกให้เองหากไม่มีการชำระเงิน ระหว่างรอสามชั่วโมง โรงแรมที่คุสโกก็ติดต่อกลับมา ฉันตัดสินใจให้เค้าจองรถไฟให้ด้วยเลย ส่งเมลกลับไปกลับมาหลายรอบก็เรียบร้อย ฉันโอนเงินให้เค้าผ่าน Paypal แต่พอเค้าจะจองตั๋วมาชูปิคชูให้กลับทำไม่ได้ เพราะว่ามีชื่อฉันค้างอยู่ในระบบ (ตั๋วใบที่ฉันเลือกเพศผิด) พนักงานจึงจองให้ใหม่ โดยเติมตัว T เข้าไปในหมายเลข passport ของฉันเพื่อให้มันไม่ซ้ำกับการจองเดิม โดยบอกว่า “You do not worry” ฉันล่ะเพลียกับประโยคนี้จริงๆ แฟนฉันบอกว่า นี่แหละคือ “Latin Style” ฉันก็ได้แต่ทำใจ แล้วก็ได้แต่ลุ้นจนถึงตอนก้าวขาเข้ามาชูปิคชู รถไฟ ส่วนใครที่สามารถจองตั๋วมาชูปิคชูเองได้ (เพื่อนฉันทำได้ โดยใช้บัตรยี่ห้อหนึ่งซึ่งฉันไม่มี) ก็สามารถลองจองตั๋วรถไฟเองได้ (เพราะเข้าใจว่าการตัดเงินผ่านบัตรเครดิตของรถไฟก็มีปัญหาเช่นกัน) โดยจองผ่านเว็บไซต์ www.perurail.com รถไฟมีสามประเภท คือ Expedition คือชั้นธรรมดา, ชั้น Vista dome มีหลังคาเป็นกระจก และมีของว่างเสิร์ฟ, และชั้นแพงสุด Hiram Bingham โดยราคารถไฟนี้แพงเอาการแต่ฉันก็กัดฟันจองชั้น Vista dome เพราะว่าวิวดีกว่ากันมาก และแล้วก็ได้เวลาขึ้นรถไฟ เราจองรถไฟเที่ยว 7:00 จากที่พักสามารถเดินไปสถานีได้เลย ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที เพราะว่าต้องเดินช้าๆ เมื่อไปถึงก็ยื่นตั๋วที่จองออนไลน์ให้พนักงาน verify แล้วก็ขึ้นได้เลย โชคดีว่าเราได้ที่นั่งที่หันหน้าไปยังหัวขบวน ไม่งั้นแฟนฉันคงได้อาเจียนอีกรอบ เนื่องจากที่นั่งเป็นแบบหันหน้าชนกัน เราสองคนได้นั่งประจันหน้ากับสองแม่ลูกจากบราซิล คุยกันถูกคอซะจนแทบไม่ได้ชมวิว ลูกชายยังเป็นวัยรุ่นดูแข็งแรงมาก แต่ปรากฏว่าฮีพ่ายแพ้แก่ HAS เหมือนกัน ส่วนคนแม่แข็งแรงดีไม่เป็นอะไรเลย รถไฟใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงสถานี Aguas Salentes จากตรงนี้เราต้องต่อรถบัสขึ้นไปยังมาชูปิคชู ซึ่งรถบัสมีเจ้าเดียวผูกขาด (monopoly) เมื่อเราเดินมาถึงคิวรอรถก็ถึงกับช็อค เพราะว่าแถวยาวเป็นกิโล ที่ตลกคือ การซื้อตั๋วรถบัสนี้จะต้องให้ดูพาสปอร์ตและกรอกข้อมูลอย่างละเอียดด้วย เราคุยกันขำๆว่า นี่เป็นประเทศที่เราต้องควักพาสปอร์ตออกมาบ่อยที่สุด แถวกิโลกว่าๆนี้ เราใช้เวลาต่อแถวกันประมาณ 1.5 ชั่วโมง กว่าจะได้ขึ้นรถ ที่ช้านี้เพราะว่าโดนแซงคิวหลายรอบอยู่ ที่รู้เพราะมีครั้งนึงที่โดนแซงจะๆ ดีว่าคุณป้าที่อยู่ข้างหน้าเราไหวตัวทันแล้วหันมาบอกเราสองคนว่าให้ยืนติดๆเค้าไว้ รถขึ้นเขาใช้เวลา 25 นาที ทางคดเคี้ยวมาก และขึ้นไปสูงมาก มากกว่าที่ฉันเคยจินตนาการไว้ ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมองเห็นสถานีด้านล่างเล็กลงๆ และรู้สึกได้เลยว่าตัวเราเล็กจิ๋วเดียวเมื่อเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ ด้านหน้าทางเข้ามาชูปิคชูจะมีไกด์คอยยืนดักนักท่องเที่ยวอยู่ เราตกลงจ้างไกด์หนึ่งคน ราคา 75 soles ต่อลูกทัวร์หนึ่งคน ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นเราก็สามารถเดินต่อกันเองได้ โดยตั๋วหนึ่งใบจะเข้าออกกี่ครั้งก็ได้ในหนึ่งวัน แล้วก็ได้เวลาตื่นเต้นว่า “You do not worry” จริงรึเปล่า ... ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เจ้าหน้าที่ดูแค่ชื่ออย่างเดียวเลย เข้าไปผ่านฉลุย การได้มาเห็นมาชูปิคชูด้วยตานั้น ช่างต่างจากที่เคยเห็นในทีวีมาก ความรู้สึกแรก คือ มันช่างยิ่งใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้ สิ่งก่อสร้างต่างๆเป็น complex ไม่ใช่แค่วัด หรือ วิหารเดี่ยวๆ ไกด์พาเราไปจุดสำคัญต่างๆ และอธิบายลักษณะการก่อสร้าง การค้นพบมาชูปิคชู และวิถีชีวิตชาวอินคา ดีที่สุดคือ ไกด์ของเรามีเชื้อสายชาวอินคา พูดอินคามาตั้งแต่เกิด แต่พูดสเปนได้ไม่ดีเท่าไหร่ เธอจึงดั้นด้นเรียนภาษาอังกฤษจนพูดได้ดีมากและเป็นไกด์มา 16 ปี ดีที่สุดอีกอย่างคือไกด์เป็นผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบ อวบพอประมาณก็เลยแอบต้วมเตี้ยมให้เราได้ตามทัน เพราะหลังจากโดน HAS เล่นงานเมื่อคืน วันนี้ก็เลยต้องทำอะไรช้าๆ และพักบ่อยๆเพื่อให้ไม่เหนื่อยจนเกินไป ไกด์พาเราเดินวน complex ด้านล่างจนครบก็เป็นอันจบโปรแกรม เราออกไปพักทานอาหารกลางวันก่อนจะกลับเข้ามาใหม่ ครั้งที่สองนี้เราขึ้นไปยังจุดชมวิว ผู้คนเริ่มบางตากว่าตอนเช้า เรานั่งซึมซับบรยากาศอันน่ามหัศจรรย์อย่างเต็มที่ ก่อนจะกลับลงมาประมาณสี่โมงกว่าๆ เนื่องจากคิวรถบัสอันยาวเหยียด ทำให้เรามาไม่ทันเวลาขึ้น Montana ที่จองไว้ (Montana เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถปีนขึ้นไปชมวิวมาชูปิคชูจากที่สูงได้) แต่พอมาเห็นทางขึ้นจริงๆก็คิดว่าคงปีนไม่ไหวอยู่ดี สำหรับเพื่อนร่วมทางในรถไฟขากลับนี้ออกจะประหลาดสักหน่อย คนแรกเป็นผู้ชาย เป็นเกย์ ตอนแรกนึกว่านางจะเยอะ จะเรื่องมาก แต่ที่ไหนได้เค้าแข็งแกร่งและมีความ gentleman มาก หนุ่มคนนี้อายุ 24 ปี เรียนเกี่ยวกับ Lab และเป็นนักกีฬา cross country เค้าไม่ได้ขึ้นรถบัสนะจ๊ะ แต่วิ่งไปกลับจากสถานีรถไฟ ขึ้นไปมาชูปิคชู ส่วนคนที่สองเป็นสาวเยอรมันร่างใหญ่ที่มาทำงานอาสาสมัครในคุสโก คนนี้มีความประหลาดมาก ตรงที่ขึ้นมาก็บ่นๆๆๆว่าเหนื่อย ร้อน ที่แคบ แล้วก็บอกว่าจะนอน ขอสลับที่กับหนุ่มอเมริกันคนแรก ซึ่งจริงๆแล้วตอนแรกที่เรานั่งคุยกันก่อนที่ผู้หญิงจะขึ้นมา หนุ่มคนนี้บอกว่าเค้าเหนื่อยมากเพราะวิ่งลงมา เดี๋ยวเค้าจะงีบสักหน่อย แต่พอผู้หญิงขอแลกที่เค้ากลับให้แลกโดยไม่หยุดคิดเลย นั่งๆไปสักพัก แม่สาวนี่ก็เริ่มรื้อข้าวของในกระเป๋าเพื่อหาหูฟัง แต่คู่ที่หาเจอก็ดันใช้ไม่ได้ สุดท้ายพ่อหนุ่มนักวิ่งเลยให้ยืมของตัวเองซะอีก แต่คู่นี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทานมังสวิรัติ พอแซนวิชที่เสิร์ฟมาเป็นไส้แฮม ผู้หญิงคือไม่กินเลย ส่วนผู้ชายดึงไส้ออก แล้วก็กินของผู้หญิงไปด้วย ฮ่าๆๆ นี่แหละรสชาติของการเดินทาง ได้เจอคนหลากหลายประเภทจริงๆ ขากลับนี่มืดแล้วนะคะก็เลยไม่เห็นวิว ใครอยากให้คุ้มค่ารถไฟ ควรเลือกเที่ยวก่อนหกโมงนะ หลังจากเสิร์ฟอาหาร พนักงานมีการแสดงเล็กๆน้อยๆด้วย เป็นการเต้นใส่หน้ากากพื้นเมือง แล้วก็มีการขายของที่ระลึก คืนนั้นเรากลับไปนอนหมดแรงกันที่โรงแรม โดยไม่มีอาการ HAS แต่อย่างใด จะมีก็แค่อาการเหนื่อยง่าย เพราะว่ากินยากันไว้เรียบร้อย เป็นอันว่าวันนี้ลุล่วงไปด้วยดี :)
0 Comments
Leave a Reply. |
Peruปุบปับเปรู Categories |