สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เราไปแบ็คแพ็คตั้งแต่สักเก้าปีที่แล้ว ครั้งแรกที่เห็นสิงคโปร์คือ ชอบมาก! มันเป็นระเบียบเรียบร้อย และสะอาด ทริปนั้นเน้นเข้าพิพิธภัณฑ์รัวๆ อยู่กันสี่วัน จนความรู้เต็มหัวเลย หลังจากนั้นก็มีเหตุให้ได้ไปอีกเกือบทุกปี บางปีไปมากกว่าหนึ่งครั้ง มีทั้งไปประชุม ไปเทรน ไปเที่ยว ซึ่งไปเที่ยวส่วนใหญ่นี้คือไปงาน F1 ครั้งแรกที่ไป F1 คือไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าจองตั๋วโปรข้ามปีไว้ มารู้ว่ามีงาน F1 ก็เพราะโรงแรมมันแพงผิดปกติ ก็เลยคิดว่าไหนๆก็ไปช่วงนั้นแล้ว ก็เข้างาน F1 เลยละกัน แล้วหลังจากนั้นก็ไปซ้ำอีก จริงๆแล้วเหตุผลที่เข้า F1 คือเพราะคอนเสิร์ตมากกว่า ในปีนี้ก็เช่นกัน ตัดสินใจไปดู คอนเสิร์ตที่ F1 และไม่ได้ไปสิงคโปร์นานแล้วด้วย เท่าที่ลองหาๆดู ก็ไม่ได้มีที่เที่ยวใหม่ๆที่อยากไป แพลนของเราก็เลยเน้นกินอย่างเดียว ครั้งนี้เรามาถึงตอนบ่ายๆ ก็เลยเลือกที่จะเข้าเมืองด้วยรถ airport bus ซึ่งเป็น door to door service (ส่งถึงหน้าประตูโรงแรม) จริงๆมันก็มีมานานแล้วแหละ แต่คราวนี้ที่ใหม่ (สำหรับเรา) คือวิธีซื้อตั๋ว โดยเราสามารถเลือกที่ตู้ Kiosk ได้เลยว่าจะให้ไปส่งที่โรงแรมอะไร กดจำนวนคน แล้วก็จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต สนนราคาคนละ S$9 ค่ะ หลังจากนั้นตู้ก็จะปรินท์ตั๋วออกมาให้ เราก็นั่งรอแป๊บนึง จนถึงรอบรถของเรา ก็จะมีพนักงานเดินมาเรียก เราว่าวิธีเดินทางแบบนี้สะดวกมาก และเหมาะกับคนที่เดินทาง 1-2 คน เพราะว่าถ้านั่งแท็กซี่ก็จะแพงไป ยิ่งถ้าเป็นเวลารถติดแท็กซี่ก็จะยิ่งแพง และโรงแรมอาจจะไม่ติดรถไฟฟ้า อ่อๆ ตู้นี้สามารถเลือกประเภทรถได้ ว่าจะเป็น shuttle bus หรือ limousine ค่ะ ถ้าเป็นลิมูซีนก็จะแพงกว่า โดย mission แรกของเรา คือ Chili Crab ... ครั้งแรกที่มาสิงคโปร์ เราก็จัด Chili crab ที่ร้าน Jumbo และยังติดใจจนต้องกินทุกครั้งที่มา แต่ว่าอาจจะมีเปลี่ยนร้านบ้าง บางทีก็กิน No Signboard แต่คราวนี้เราลองหาร้านใหม่ๆ ใกล้ๆโรงแรมค่ะ ร้านนี้อยู่ในย่าน China town ชื่อว่าร้าน Momma Kong’s เป็นร้านในห้องแถวติดแอร์ดูทันสมัยต่างจากร้านรอบๆ โดยเราเจอร้านนี้จากใน tripadvisor ซึ่งได้เรทติ้งดีมาก เราไปถึงหกโมง ทุกโตัะถูกจองหมดเลย ก็เลยต้องนั่งด้านนอก (ร้านเค้ารับจองผ่าน fb ด้วยนะคะ)
วันที่สอง เป็นวันที่เรามี mission สำคัญ คือ ร้านระดับ Michelin Star ที่จองล่วงหน้าไว้หลายเดือน แต่ๆๆๆ ก่อนจะไปกินหรูดูแพง เราต้องการมื้อเช้าที่คุ้นเคยค่ะ ถ้ามาสิงคโปร์แล้วไม่ได้กินร้านนี้ มันก็จะเหมือนขาดๆอะไรไป ... ร้านที่ว่านี้ก็คือ Yakhun Kaya Toast ซึ่งมีหลายสาขามากๆ ในสิงคโปร์ และมีสาขาที่กรุงเทพด้วยนะ วันนี้เรามากินกันที่สาขา china town ค่ะ เมนูมีไม่เยอะหรอก หลักๆก็ Kaya toast ไข่ลวก ชา กาแฟ ประมาณนี้ เราสั่งเป็น set อาหารเช้า จานเด็ดของที่นี่ก็คือเจ้า kaya toast หรือว่าขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาล ปิ้งจนกรอบ ทาสังขยาสูตรสิงคโปร์ แล้วแปะเนยก่อนจะประกบเข้าด้วยกัน มันมีความหอม มัน หวาน กินกับชาร้อน อร่อยสุดๆค่ะ จริงแล้วตอนเดินจากโรงแรมมาร้าน Yakhun นี้ผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ดูน่ากินมากๆ แต่ว่าต้องเก็บท้องไว้กินมิชลินค่ะ เลยต้องแปะไว้ก่อน กะว่าค่อยมากินตอนบ่าย แต่สรุปว่าอด ร้าน Michelin Star ที่เรามาในวันนี้ ชื่อร้าน André โดยร้านนี้ได้สองดาว ... ก่อนจะเลือกร้านนี้ เราก็นั่งดูรีวิวเยอะเหมือนกัน มีหลายร้านที่อยากลอง แต่สุดท้าย เราคิดว่าร้านนี้แหละ เพราะว่าแทบจะไม่มีรีวิวในเชิงลบเลย (based on TripAdvisor) ที่น่าสนใจก็คือ อันดับใน Top50 restaurant ของร้านนี้ดีขึ้นทุกปีค่ะ และเชฟนอกจากจะเป็นเชฟแล้วก็ยังเป็นศิลปินงานปั้นด้วย นอกจากนี้ร้านนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้าน ที่เปิด lunch ซึ่งเค้าจะเปิดมื้อกลางวันแค่สองวัน คือ พุธและศุกร์ วันนี้เป็นวันศุกร์พอดี ก็เลยลงตัว André จะมี concept ของอาหารคือ Octaphilosophy ดังนั้น signature ของร้านก็คือ 8-course menu แต่ถ้ามื้อกลางวันจะมี option 5 course ด้วย ส่วนราคาก็แรงอยู่ค่ะ 8 course ราคาsetละ S$ 350++ ถ้า 5 course ราคา 198++ (ทั้งนี้ ตอนนี้ไม่มีเมนูนี้แล้วนะคะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง) เราคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยจัดเต็ม 8 course แล้วกัน ด้านหน้าร้านคือเป็นบ้านสีขาวหลังเล็ก หาแทบไม่เจอ เพราะว่าป้ายร้านก็เรียบง่ายมาก ฝนตกซะอีก หลังจากเปียกปอนเข้าไปในร้าน เราก็ถูกพาขึ้นไปชั้นสอง พนักงานถามว่า หิวมั้ย และ จะรีบไปไหนรึเปล่า เพราะว่ามื้อกลางวันวันนี้จะเป็น longest lunch ที่เราจะมีเลยทีเดียว ... ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ปกติทานพวก fine dining เราก็กินไม่เกินสองชั่วโมง แต่วันนี้เรามาถึงเที่ยงนิดๆ เดี๋ยวมาดูกันว่าเราจะเสร็จกี่โมง ก่อนเสิร์ฟ พนักงานถามเราอีกครั้ง ว่าแพ้อะไร หรือว่าไม่ทานอะไรมั้ย ซึ่งจริงๆก็ถามแล้วตอนจองแหละ เราก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่ากินได้ทุกอย่าง พนักงานแซวว่า ถ้าเป็นกบกินมั้ย .. เรากับแฟนก็ตอบพร้อมกันว่ากิน! คือจริงๆมันก็มีอาหารที่เราไม่ชอบนะ แต่เราคิดว่า การมากินอาหารที่ปรุงโดยเชฟระดับนี้ เราต้องยกความไว้วางใจทั้งหมดให้เค้า และเปิดใจรับประสบการณ์ที่จะได้รับ ถ้าเค้ากล้าที่จะเอากบมาทำให้มันอร่อย เราก็กล้าลอง เมนูบนโต๊ะ ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นเมนูได้หรอก มันคือคำอธิบายปรัชญาทั้งแปดของที่นี่ แต่ก่อนจะไปถึงจานหลักเหล่านั้น เชฟก็มีของเล่นมานำเสนอเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อน
ในส่วนของบรรยากาศร้าน ก็เรียบหรูดูดีค่ะ โต๊ะไม่แน่นเกินไป มีประมาณสิบโต๊ะได้นะ แต่ว่าเนื่องจากพื้นที่มันเล็ก บางทีเราก็เห็นและได้ยินจากโต๊ะอื่นแล้วว่าเราจะได้ทานอะไรบ้าง ถ้าใครอยากตื่นเต้นจริงๆ ขอให้เลือกเวลาทานแบบตั้งแต่เค้าเปิด จะได้ได้เสิร์ฟเป็นโต๊ะแรก ในส่วนของการบริการนั้นไม่มีที่ติค่ะ ยกเว้นว่าพนักงานบางคนอาจจะพูดสำเนียงที่ฟังยากหน่อย เพราะที่นี่พนักงานเค้ามีทั้งหมดยี่สิบกว่าเชื้อชาติเลยทีเดียว ลูกครึ่งไทยก็มี ทุกคนจะสับเปลี่ยนกันมา ไม่ได้เป็นการ assign แบบประจำโต๊ะค่ะ มาค่ะ ถึงเวลาของ OctaPhilosophy กันแล้ว มาเริ่มกันที่จานแรกเลยดีกว่า Texture – เนื่องจากบนโลกใบนี้มี texture ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นุ่ม กรอบ แข็ง แน่น เหนียว เชฟก็เลยสร้างสรรค์จานนี้ขึ้นมา โดยการนำอาหารที่มี texture แตกต่างกันมาเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เสมือนกับการบรรเลงเพลงที่ประกอบไปด้วยจังหวะหลายๆแบบค่ะ ส่วนผสมคือ Smoked swordfish/ cucumber millefeuille/ chrysanthemum jelly สำหรับเรา มันเป็นการผสมผสาน texture จริงๆ เน้นที่สัมผัส กินแล้วเรียกได้ว่า น่าสนใจ ส่วนรสชาติก็โอเคนะ Pure – beauty in anything and everything คอนเซปต์ของจานนี้คือ ทุกสิ่งมีความสวยงามของตัวมันเองค่ะ เชฟเลือกใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติในตัวเอง มาผสมผสานกัน โดยแทบไม่ได้ปรุงรส ส่วนผสมคือ Kohlrabi ravioli/stone crab effiloche’/ leek water จานนี้เป็นจานที่เราประทับใจมากกกกกกกก มันอร่อยด้วยตัวของมันเอง สวยงาม บริสุทธิ์ ตาม philosophy เลย คือไม่ต้องปรุงรสชาติอะไรมากมายแต่มันให้ความรู้สึกดี ซุปหัวหอมใสๆเย็นๆ หวานน้อยๆจากตัวหอมเลย กับเนื้อปูหวานเค็มอ่อนๆ ส่วนเกล็ดขาวๆอันนั้นเหมือนเป็นข้าวค่ะ ทานรวมกันแล้วสดชื่นมาก ระหว่างคอร์สมีการเสิร์ฟขนมปังด้วย ซึ่ง ขนมปังที่นี่ โคตรดี หอมมาก นุ่มมาก และเนยคือดียิ่งกว่า แต่ว่าทานไม่หมดจริงๆเพราะต้องเก็บพื้นที่ในกระเพาะไว้ให้อีกหลายจานที่เหลือ Artisan – เช่นกันกับหลายๆอาชีพ การทำอาหารคืองานฝีมือ ที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการทุ่มเทที่จะทำให้ของง่ายๆกลายเป็นอาหารที่น่าประทับใจ ซึ่งเบื้องหลังของจานนี้คือ วัตถุดิบ (ผัก) สดๆ ที่มาจากฟาร์มของเชฟที่ไต้หวัน การนำผักมาปรุงนั้น เชฟจะถามเกษตรกรว่าผักชนิดไหนควรนำไปทำอะไร เพราะเชฟเชื่อว่าไม่มีใครจะรู้จักผักดีกว่าคนที่ปลูกมันมากับมือ ส่วนผสมก็คือ 17 Legumes du moment/ charred toro vinaigrette/ fermented broth ก็คือ ผัก 17 ชนิด ท้องปลา toro เผา จานนี้ก็อร่อยมากกกกกกกก มันไม่ได้รสชาติหวือหวานะ แต่มันดี ผักหอมหวานกรอบ เข้ากับปลามันๆหอมๆ และปิดท้ายด้วยการเทซุปลงไปในซอส เพื่อไม่ให้มีอะไรเหลือ South –แรงบันดาลใจคือกลิ่นและสีสันของตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งเชฟเคยทำงานอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ส่วนผสมคือ Seared Gillardeau oyster / scallop lasagna/ caviar aubergine โดยเมื่อเปิดผ้า (แผ่นแป้ง) ที่คลุมไว้ออก กลิ่นของทะเลจะปะทะจมูกทันที จริงๆก็ดี แต่ว่าเราชอบหอยนางรมสดมากกว่าเผา Salt – เกลือนี้ทำได้หลายอย่าง ทั้งให้รสเค็ม และใช้ถนอมอาหาร เชฟมองว่า เกลือ ก็คือตัวแทนของทะเล โดยอาหารที่นำเสนอคือ squid spaghetti/kelp jus/sorghum ไอ้เจ้าเส้นๆในถ้วยคือปลาหมึกค่ะ ทานกับข้าวพองที่เป็นตัวแทนของหาดทรายจานนี้ได้ทั้งรสเค็มของทะเล รสสัมผัส และรสชาติ Memory – you are your memory ทุกคนมีความทรงจำ สิ่งที่ดี ที่เราประทับใจ ก็จะอยู่กับเราไปจนตาย โดยจานนื้คือความทรงจำของเชฟค่ะ เมนูฟัวกราส์ อาจจะมีทั่วไป แต่เชฟสร้างมันขึ้นมาจากคามทรงจำสมัยทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศส ส่วนผสมก็คือ Foeigras royale/black truffle coulis/chives กลิ่นหอมของทรัฟเฟิลช่วยลดกลิ่นฟัวกราส์ได้เยอะ texture ก็นุ่มเนียนมาก แต่เราก็ไม่ชอบฟัวกราส์อยู่ดีอะ >.< แต่แฟนเราชอบจานนี้มากที่สุดค่ะ Terroir – หมายถึงผืนแผ่นดิน และดินฟ้าอากาศ คือเราเข้าใจว่า ผืนดินซึมซับสิ่งต่างๆเอาไว้ จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะ แอบ abstract เข้าใจยากนิดนึง อย่างไรก็ตาม อาหารจานนี้คือ Cacao nibs/welish lamb/champignon mont-blanc เป็นเนื้อแกะที่ย่างในเมล็ดกาแฟค่ะ เค้าเลยเสิร์ฟมาในชามเมล็ดโกโก้ มาจี่ๆให้ดูที่โต๊ะเลย (จริงๆทำมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มา finishing ที่โต๊ะ) กลิ่นและเสียงมันดีมากเลยค่ะ และเป็นแกะที่ไม่เหม็นเลยยยยยยจริงๆ ปกติเราไม่ชอบแกะเลย แต่จานนี้นุ่มนวล หอมมาก Unique – จานนี้เป็นการสร้างความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยใช้วัตถุดิบมาปรุงในวิธีที่ฉีกกฎ ซึ่งก็คือ ไอศครีมข้าว รสชาตินุ่มนวลหอมข้าวมากๆ แฟนเราชอบจานนี้มาก ส่วนเราชอบถ้วยค่ะ ชอบวิธีที่เค้าเลือกถ้วยให้มันสะท้อนไอศครีมสีขาวให้มีมิติ ระหว่างมื้อ พนักงานก็ชวนคุยว่า คุณภรรยาของเชฟก็เป็นคนไทยนะ ชื่อคุณแพม (จริงๆคือคุณผึ้ง) เดี๋ยวคุณแพมก็มาช่วยเสิร์ฟ ... เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภรรยาเชฟเป็นคนไทย ก็เลยแปลกใจเล็กๆ แล้วคุณผึ้งก็มาเสิร์ฟจริงๆ ได้คุยกันแบบเป็นกันเองมาก เราก็แอบถามว่าไม่มาเปิดเมืองไทยเหรอ แต่คุณผึ้งบอกว่าไม่ไหวละ แค่นี้ก็ไม่มีเวลาแล้ว และนี่ร้านที่เมืองจีนก็กำลังจะเปิดด้วย แม้ว่าจะครบ 8 (Octa) philosophy แล้ว แต่การเสิร์ฟยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้งค่ะ ก่อนเสิร์ฟจานถัดไป เชฟ Andre ก็โผล่มา OMG! เราแอบตื่นเต้น ฮ่าๆๆ แล้วก็มาชวนคุยว่าชอบจานไหน เราบอกว่าเราชอบ Pure ซึ่งเชฟทำหน้าแปลกใจ อาจจะไม่ค่อยมีใครชอบจานนี้ เราก็บอกว่ามันคือจานที่ match กับ philosophy มากๆ และเป็นจานที่สื่อให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์จริงๆ เชฟบอกว่า จานถัดไปคือจานโปรดของเชฟ แล้วเชฟจะกลับมาถามใหม่ ว่าชอบมั้ย จานถัดมาเป็น Signature ของที่นี่ จานโปรดของเชฟ Andre – Peche de vigne/ muscadine grapes/ pink coriander จานนี้ประกอบไปด้วยทุกอย่างที่เป็นสีชมพู แม้แต่จาน ก็ปั้นมาจากดินสีชมพูในจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่น (ถ่ายรูปออกมาแล้วมันไม่เห็นว่าจานเป็นสีชมพู แต่ว่าของจริงเป็นสีชมพูเรื่อๆสวยมาก) จานนี้สื่อถึงความสดชื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน ซึ่งพอกินแล้วมันสดชื่นจริงๆ ปกติเราไม่ชอบทานพีช แต่ว่าจานนี้ต้องยอมรับว่าอร่อยค่ะ แล้วก็เป็นช่วงพักโฆษณา โต๊ะข้างๆ ได้เค้กวันเกิด พร้อม music box เล่นเพลง happy birthday และไม่นานหลังจากนั้น ... ก็ถึงตาเรา อิอิ เป็น surprise เล็กๆต่อคุณนาย เราเรียกมันว่าการฉลอง anniversary ย้อนหลังค่ะ เพราะว่าปีนี้เรายังไม่ได้กิน fine dining ฉลอง anni กันเลย และอีกโอกาสนึงคือ เราทำแหวนมาให้นางเป็นของขวัญ เพราะว่าเราไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดนาง ... เล่นเอานางตื่นตกใจ เพราะไม่เคยระแคะระคายมาก่อน :) แล้วเราก็ขอพักดื่มกาแฟแป๊บนึง ให้ตื่นก่อน เพราะว่าตอนนี้อิ่มจนจะหลับ อากาศก็น่านอนมากๆ ฝนตกพรำๆตลอด
ยังไม่หมด... มันเป็นมื้อที่โหดร้ายต่อกระเพาะมากจริงๆ >.< “ พนักงานนำ treasure box มาเสิร์ฟ พร้อมกับเจ้า gummy bear สองตัวนี้ ซึ่งทำจากไวน์ (ถ้าจำไม่ผิด) กล่องไม้นี้มีสองชั้น ชั้นบนคือ The Nior (ที่เป็นลูกกลมๆ มันคือชอคโกแลต เข้มข้นมาก) Financier เค้กเนื้อนุ่ม และ Madeleine อันกลาง พอหงายท้องขึ้นมาจะเจอถั่วหลากหลายชนิด อร่อย ส่วนชั้นล่าง คือ macaron และ pate’ de fruits เป็นอันจบคอร์สโดยสมบูรณ์ นับได้ 24 อย่างพอดี คราวนี้เชฟกลับมาอีกครั้งพร้อมคุณผึ้งด้วย เชฟถามว่าชอบเมนูโปรดของเชฟมั้ย เรานี่รีบตอบเลยว่าชอบ แล้วก็บอกเชฟด้วยว่าเราชอบจานของที่นี่มาก สวยงามจริงๆ หลังจากนั้นก็คุยสัพเพเหระ จนเรากลายเป็นแขกคนสุดท้ายของมื้อกลางวัน เชฟและคุณผึ้งเลยใจดีพาไปชมครัว พร้อมห้องเลี้ยงรับรองด้านล่าง เสียดายอย่างเดียวคือลืมขอเชฟและคุณผึ้งถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับร้าน Andre คือ เชฟตัดสินใจประกาศปิดกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ซึ่งก็ทำให้โต๊ะถูกจองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หากใครอยากจะเปิดประสบการณ์ Octaphilophy ก็เหลือตัวเลือกเพียงไม่กี่วันแล้วค่ะ และตอนนี้เมนูของการก็เปลี่ยนไปแล้วเป็น course farewell ราคาอยู่ที่ S$800 ซึ่งมี beverage pairing ด้วย หลังจากเจอ 24 courses ของ Andre เข้าไป เราก็ไม่รู้จักคำว่าหิวอีกเลยจนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้หิว แต่พยายาม build ให้หิว เพราะว่านัดรุ่นน้องกินข้าวไว้ คือ รุ่นน้องนี้นางมาทำงานที่สิงคโปร์ก็เลยรู้ที่กิน in trend ซึ่งตอนนี้ร้านที่นางอยากกินมาก คือชาบูชื่อ Beauty in the pot แต่ว่ามันฮิตซะจนต้องรอคิวเป็นชั่วโมงๆ นางก็เลยจะชวนไปกินตอนเที่ยงคืนหลังจากที่คอนเสิร์ต F1 เลิก เราก็เลยพยายามใช้พลังงานในคอนเสิร์ตให้มาก จะได้หิวๆ ฮ่าๆๆ แต่ปรากฏว่าเที่ยงคืนที่ร้านก็ยังคิวยาวมากอยู่ดี ก็เลยเปลี่ยนร้าน ไปกินอีกร้านนึงที่ตึก 313 orchard ซึ่งก็ปิดเกือบเช้าเหมือนกัน ชาบูของที่นี่ก็คล้ายๆบ้านเรา มีซุปให้เลือก สั่งเนื้อสัตว์และผัก ส่วนน้ำจิ้มและผลไม้ตักได้ที่บาร์ น้ำซุปหมาล่าเข้มข้นเข้ากับเนื้อนุ่มๆมากค่ะ สุดท้ายก็อิ่มจนกลิ้ง
0 Comments
Leave a Reply. |
เลือกดูตามประเทศNew Zealand
Australia - Tasmania Archives
May 2021
Authorจาก Rainy in the blue sky ในพันทิป |